อังกฤษ ‘ล็อกดาวน์รอบใหม่’ หลังโควิด-19 พุ่ง นายกฯ วอนปชช. ‘อยู่แต่ในบ้าน’

5 มกราคม 2564 นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร กล่าวปราศรัยผ่านการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ กระตุ้นให้ประชาชนทั่วประเทศ "อยู่แต่ในบ้าน" ยกเว้นผู้มีเหตุจำเป็นที่ได้รับอนุญาต ซึ่งสอดคล้องกับมาตรการช่วงเดือนมีนาคม 2020 โดยมาตรการล็อกดาวน์อนุญาตให้ประชาชนออกไปทำงานได้เฉพาะกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้เท่านั้น เช่น แรงงานก่อสร้าง
ประชาชนในสหราชอาณาจักรสามารถออกจากบ้านไปซื้อของใช้จำเป็น เช่น อาหาร ยา และออกกำลังกายในพื้นที่ใกล้เคียง 1 ครั้งต่อวัน ขณะที่สถานศึกษาจะปิดชั่วคราวตั้งแต่วันอังคาร (5 ม.ค.) เป็นต้นไป (ยกเว้นเด็กที่อยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและบุคลากรกลุ่มสำคัญ) โดยจะต้องทำการเรียนการสอนทางไกลไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์

(แฟ้มภาพซินหัว : บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรเดินทางออกจากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ไปยังสภาสามัญชนในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร วันที่ 30 ธ.ค. 2020)
จอห์นสันระบุว่าโรงเรียนเป็นสถานที่ที่ "ไม่ปลอดภัย" และเด็กๆ "ไม่น่าจะ" ได้รับผลกระทบหนักจากโรคโควิด-19 แม้จะเป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าเก่าถึงร้อยละ 70 แต่โรงเรียนอาจเป็น "แหล่งการแพร่ระบาดที่ทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายระหว่างครัวเรือน"
นายกรัฐมนตรีตัดสินใจประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งหลังสหราชอาณาจักรตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 58,784 ราย ซึ่งเป็นยอดรายวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ในประเทศ ทั้งยังเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันที่ยอดป่วยสูงทะลุ 50,000 ราย ทำให้สหราชอาณาจักรมีผู้ป่วยสะสม 2,713,563 ราย เสียชีวิตแล้ว 75,431 ราย
ด้านนิโคลา เสตอร์เจียน มุขมนตรีแห่งสกอตแลนด์ได้ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ในสกอตแลนด์ ไปตั้งแต่เที่ยงคืนวันจันทร์ (4 ม.ค.) พร้อมสั่งปิดโรงเรียนจนถึงวันที่ 1 ก.พ.
ทั้งนี้ เมื่อวันจันทร์ (4 ม.ค.) สหราชอาณาจักรเริ่มการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของออกซ์ฟอร์ด/แอสตราเซเนกา ทั่วประเทศ
ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ระบุว่ามีวัคซีนต้านโรคโควิด-19 จำนวน 232 ตัวที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในทั่วโลก โดย 60 ตัวในนี้อยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกในหลายประเทศ เช่น เยอรมนี จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ

(แฟ้มภาพซินหัว : ประชาชนเดินบนสะพานเวสต์มินส์เตอร์ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร วันที่ 1 ม.ค. 2021)

(แฟ้มภาพซินหัว : ผู้โดยสารชายในท่าอากาศยานฮีทโธรว์ กรุงลอนดอน เมืองหลวงของสหราชอาณาจักร วันที่ 21 ธ.ค. 2020)