เราจะแยกลักษณะเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นออกเป็น2 ลักษณะ คือ ประเภทแรก เป็นความรุนแรงที่เกิดกับบุคลากรทางการแพทย์โดยตรง
คดีแรก ย้อนกลับไปเมื่อปี 2555 คือ เหตุการณ์ที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงศีรษะบุรุษพยาบาลโรงพยาบาลเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เสียชีวิตคาห้องฉุกเฉินเพราะไม่พอใจที่พาภรรยามารักษา แต่บุรุษพยาบาลถามมาก ไม่ยอมเริ่มรักษาจึงชักปืนจ่อยิงจนเสียชีวิต
คดีต่อมาเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา คือ คดียิงผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรีเสียชีวิตคาโต๊ะทำงานภายในคลินิกส่วนตัว โดยคนร้ายได้ปลอมตัวเป็นคนไข้เข้ามารักษาตัวที่คลินิกแห่งนี้ ซึ่งหลังจากตรวจร่างกายเสร็จได้อ้างว่า จะไปหยิบเงินที่รถยนต์ พอเดินกลับมาในคลินิก ได้ใช้อาวุธปืนยิงคุณหมอท่านนี้เสียชีวิตสาเหตุคาดว่า อาจจะมาจากประเด็นชู้สาว เพราะคนร้ายหวาดระแวงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณหมอและภรรยาตัวเองที่ทำงานในคลินิกแห่งนี้
และล่าสุดก็คือ กรณีที่หนุ่มเมาคลั่งใช้เท้าถีบทำร้ายเจ้าหน้าที่และพยาบาล พร้อมทำลายข้าวของในโรงพยาบาลเวียงแก่นจนเสียหายเนื่องจากไม่ยอมให้รักษา จากการประสบอุบัติรถจักรยานยนต์คว่ำ เนื่องจากเมาสุรา
สำหรับความรุนแรงประเภทถัดมา เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่โรงพยาบาล โดยส่วนใหญ่มาจากสาเหตุการทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่นที่มีเรื่องมีราวกันจากที่อื่นพอมีเพื่อนในกลุ่มบาดเจ็บก็นำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลแต่กลุ่มคู่อริกลับตามมาเช็คบิลกันถึงที่โรงพยาบาล
คดีแรก เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เหตุการณ์ยกพวกตีกันในโรงพยาบาลสิริธร กรุงเทพมหานคร
ถัดมาในเดือนมีนาคม ปี 2559 เหตุบุกทำร้ายคู่อริ โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานครเช่นกัน และเมื่อปี 62 ปี ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มวัยรุ่นบุกทำร้ายคู่อริโรงพยาบาลกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
ต่อมาเดือนเมษายน เหตุยกพวกตีกันในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลบางสะพานน้อยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งในเดือนเดียวกัน เกิดเหตุบุกทำร้ายคู่อริที่โรงพยาบาลประทาย จังหวัดนครราชสีมา
ถัดมาเดือนพฤษภาคม เกิดเหตุรุนแรงขึ้นถึง 3 เหตุการณ์ คือที่โรงพยาบาลเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทาจังหวัดยโสธร และสุดท้ายเกิดเหตุที่โรงพยาบาลอ่างทอง
เหตุความรุนแรงในช่วงหลังพบว่า เหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาลโดยเฉพาะหน้าห้องฉุกเฉิน มีจำนวนพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
แม้กระทรวงสาธารณสุขจะได้ออกมาตรการ 7 ข้อสำหรับป้องกันเหตุรุนแรงในโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการให้เพิ่ม "ประตูนิรภัย" แบบล็อคได้ทันที และสื่อสารญาติผู้ป่วยเป็นระยะเพื่อลดความกังวล แต่ที่น่าเป็นห่วงกว่านั้น ก็คือความเสียหายที่โรงพยาบาลต้องแบกรับจากพวกแก๊งอันธพาล ล้วนเป็นภาษีของประชาชน ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายลงโทษให้เด็ดขาด
"ข่าวข้นคนข่าว" ได้รับข้อมูลจากสหภาพพยาบาลแห่งประเทศไทย ซึ่งระบุว่า ปัญหาความรุนแรงในโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นมาจากผู้ที่ก่อเหตุความรุนแรง 5 กลุ่ม คือ
1.คนร้ายที่เข้ามาปล้น เข้ามาทำร้าย 2.ผู้ป่วย 3.อดีตลูกจ้างของโรงพยาบาลที่ถูกให้ออก ซึ่งมีความไม่พึงพอใจกับผู้บริหาร 4.กลุ่มญาติของบุคลากรในโรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะเป็นความขัดแย้งเรื่องส่วนตัว และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มที่ 5 ก็คือ ญาติผู้ป่วย