เปิดประสบการณ์คนไทยในสหรัฐ รับวัคซีนสู้โควิด

29 ธันวาคม 2563 คุณระวี โรจน์รุ่งสัตย์ คนไทยในชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านโควิดจากบริษัทไฟเซอร์ มาแล้ว 1 ครั้ง เปิดเผยว่า หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผลข้างเคียงใดๆ จะรู้สึกเจ็บๆคันๆแค่ช่วงแรกตรงจุดที่ได้รับการฉีดเท่านั้น แต่ภายหลังจาก 5-6 ชั่วโมง จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ แต่พอไปอาบน้ำอาการก็หายไปเอง และก็มีอาการระบมที่แขนประมาณหนึ่งวันครึ่ง เหมือนกับการฉีดยาทั่วไป

ส่วนการนัดฉีดวัคซีนรอบสอง แพทย์ได้นัดอีกครั้งในอีก 20-23 วันข้างหน้า ซึ่งการฉีดวัคซีนครั้งนี้ ไม่ได้มีค่าใช้จ่าย เพราะเป็นสวัสดิการที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้สำหรับกลุ่มที่ทดลองเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งตนเองทำงานเป็นนักกายภาพบำบัด จึงมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อง่าย จึงมีการจัดให้ตนเป็นกลุ่มทดลองฉีดเป็นกลุ่มแรก

สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุตามบ้านพักชรา จะเริ่มได้รับการฉีดวัคซีนในช่วงสัปดาห์หน้านี้ ส่วนคนทั่วไปยังไม่มีการจัดให้ฉีด แต่จะเริ่มช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ขณะที่สถานการณ์ความหวาดกลัวของคนสหรัฐฯ เอง ก็มีทั้งคนที่กลัวและไม่กลัว หากใครกลัวก็จะตื่นตัวเป็นพิเศษ โดยมาตรการป้องกันในสหรัฐฯตอนนี้ เริ่มมีการบังคับให้คนใส่หน้ากากอนามัยเวลาต้องเข้าไปตามอาคารสถานที่ มีการแบ่งระยะห่างเป็นจุดต่างๆไว้ชัดเจนขึ้น รวมถึงขอให้ไม่มีการเดินทางฉลองปีใหม่ตามสถานที่ต่างๆ มีการยกเลิกงานกิจกรรมไปแล้ว ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ก็จะออกมาเรียกร้องบ้าง แต่แบ่งเป็นสองฝ่าย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับมาตรการของรัฐบาล

ส่วนมาตรการของภาครัฐ จะมีการออกข่าวจากทางผู้ว่าการรัฐออกมาแจ้งข่าวกับประชาชนทุกวัน รวมถึงสำนักข่าวต่างๆที่นำเสนอข่าว ขณะที่การฉีดวัคซีนให้กับคนทั่วไปได้มีการตั้งไว้ที่ 300 ล้านคนภายในปีหน้า แต่ค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนยังไม่มีการยืนยันชัดเจน

ด้านผลตอบรับจากกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีน จะแบ่งเป็นสองช่วง คือ เข็มแรก จะได้ผลประมาณ 50 เปอร์เซนต์ ส่วนเข็มที่สอง จะได้ผลประมาณ 95 เปอร์เซนต์ ซึ่งปกติหากได้เพียงแค่ 70 เปอร์เซนต์ก็ถือว่ามากพอที่จะป้องกันไวรัสโควิดได้แล้ว แต่นี่ได้ถึง 95 เปอร์เซนต์ ถือว่าดีมาก
ขณะที่ความตื่นตัวของประชาชนภายในรัฐอิลลินอยส์ มีค่อนข้างมาก โดยตัวผู้ว่าการรัฐจะมีการออกมาอัพเดทสถานการณ์แทบทุกวัน ซึ่งรัฐอิลลินนอยส์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงเป็นอันดับต้นๆของสหรัฐฯ ทำให้มีความระมัดระวังอย่างมาก