ผลประโยชน์บนดิน มาจากค่าตัวนักมวย ค่าสปอนเซอร์โฆษณาซึ่งมีแทบทุกจุดในสนาม ตั้งแต่ผืนผ้าใบ มุมแดง มุมน้ำเงิน การชูป้ายบอกยกของเหล่าสาวงามจนไปถึงการติดตั้งป้ายโฆษณาในจุดที่มองเห็นผ่านกล้องทีวี ไม่เว้นแม้กระทั่งกางเกงและเสื้อคลุมที่นักมวยสวมใส่ ประเมินกันว่าการจัดชกมวย 1 รายการ มีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ปีๆหนึ่งมีเม็ดเงินวนอยู่ในธุรกิจนี้หลักหลายพันล้าน นี่เป็นส่วนหนึ่งของรายได้"บนดิน" ที่เราเห็นกันชัดๆ
ส่วน "เงินใต้ดิน" จากการพนันอาจจะเป็นเรื่องที่ประเมินมูลค่ายาก เพราะการพนันไม่ได้มีแทงกันเฉพาะในสนามแต่เมื่อมวยถูกถ่ายทอดสดทางทีวี จึงมี "มวยตู้"กระจายอยู่ทุกชุมชนในทุกจังหวัด ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นตามหมู่บ้านหรือร้านขายของชำที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนจะมีการเปิดทีวีที่ถ่ายทอดสดมวยให้แฟนมวยได้เชียร์กัน ส่วนในเขตเมืองขนาดวินมอเตอร์ไซค์ยังมีทีวีเปิดมวย
บทลงโทษจากการฝ่าฝืนมาตรการป้องกันโควิด-19 ในครั้งนั้น พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งย้าย พลตรี ราชิต อรุณรังษีเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ซึ่งเป็นนายสนามมวยเวทีลุมพินีเพียงคนเดียว โดยให้ไปช่วยราชการภายในกองบัญชาการกองทัพบก และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าถูกลงโทษหรือต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรหรือไม่
เช่นเดียวกัน "บ่อนการพนัน" ที่ดูเผินๆ เหมือนมีเงินหมุนเวียนไม่มากแต่จริงๆ แล้วแค่บ่อนเล็กๆ ก็มีเงินหมุนอยู่ในบ่อนแต่ละวันหลักล้านบาทแล้วขณะที่บ่อนขนาดกลาง อย่างเช่น บ่อนที่ถูกร้องเรียนในหลายๆ จังหวัด ลักษณะเป็นบ่อน"กุ้ง-ปลา" หรือ "โปปั่น" มียอดเงินหมุนเวียนแต่ละวันหลายล้านบาทบางแห่งถึงหลักสิบล้าน ฉะนั้นแทบไม่ต้องคิดเลยว่า ถ้าเป็น "บ่อนถาวร"ที่ตั้งกันตามตึก ตามโกดัง หรืออาคารต่างๆ จะมีเงินหมุนเวียนมากมายขนาดไหน
เหตุนึ้เอง คุณสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาลซึ่งคลุกคลีอยู่ในแวดวงธุรกิจสีเทา จึงกล้าให้ข้อมูลแบบตรงไปตรงมาว่า บ่อนระดับถาวรอย่างเช่น "บ่อนหลงจู๊สมชาย" ที่จังหวัดระยอง จ่ายส่วยไม่ต่ำกว่าเดือนละ10 ล้านบาท คล้ายๆ บ่อนพระราม 3 ในกรุงเทพฯที่มีการยิงกันในบ่อน 3-4 ศพแต่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลก็ไม่โดนเด้ง ถึงขนาดได้ฉายา "นายพลตีนตุ๊กแก"แถมมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์การเล่นพนันออกจากบ่อนไปหมดอย่างรวดเร็วแม้จะมีภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาแฉ แต่ก็จับมือใครดมไม่ได้ดำเนินคดีได้เพียงคนเดียวคือ มือปืนที่ก่อเหตุในบ่อน ซึ่งก็เข้ามอบตัวเองตำรวจไม่ได้ไปตามจับ ส่วนเจ้าของบ่อนก็ลอยนวล ไม่มีใครพูดถึง
สำหรับเงินหมุนเวียนในธุรกิจบ่อนการพนัน ข้อมูลจาก"ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ประมาณการว่าแต่ละปีมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจการพนันทุกประเภทมากกว่า 357,275 ล้านบาท ข้อมูลจากอีกหลายแหล่งประมาณการว่าน่าจะสูงถึง 500,000 ล้านบาทโดยภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำในแต่ละช่วง ไม่มีผลกับวงการพนัน
หากเจาะลึกลงไปเฉพาะเม็ดเงินหมุนเวียนในบ่อนการพนัน มีข้อมูลจาก"ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่ทำร่วมกับ"ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ หรือ SAB ซึ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้พบว่า วงเงินพนันหมุนเวียนของกลุ่มที่เล่นพนันในบ่อน อยู่ที่ประมาณ 122,566 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
เม็ดเงินแสนล้าน นอกจากกระจายไปในกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องในธุรกิจนี้แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่ จะแปรไปเป็น "เงินส่วย"ที่ส่งให้กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ "ตำรวจ"ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายโดยตรง จุดนี้เองที่กลายเป็นเหตุผลว่าบ่อนการพนันไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย เพราะเป็นแหล่งเงินมหาศาล / เรียกว่ากินกันอิ่มแปล้ทุกฝ่าย จึงไม่แปลกที่ตำรวจระดับ "ผู้การจังหวัด" ยังกล้าออกมาปกป้องบ่อนประกาศว่าจังหวัดตัวเองไม่มีบ่อน ลูกหลานเจ้าของบ่อนล้วนได้ดิบได้ดี มีหน้ามีตามีที่นั่งในสภา และเป็นคณะทำงานของนักการเมืองใหญ่
นี่คือเส้นสนกลในของเครือข่ายบ่อนการพนัน และเม็ดเงินมหาศาลจากบ่อนตลอดจนธุรกิจสีเทาอื่นๆ ที่กลายเป็นตลกร้ายของบ้านเราว่า "ธุรกิจสีเทา"คือ ซูเปอร์สเปรดเดอร์ แพร่โควิดตัวจริง!