svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

นายกฯสั่งดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดทุจริต'เราเที่ยวด้วยกัน'

16 ธันวาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ไตรศุลี ไตรสรณกุล ระบุ หลังจากนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับรายงานว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน มีการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างโรงแรมกับผู้ที่ได้รับสิทธิในลักษณะที่มีการโกงเกิดขึ้น จึงสั่งการให้ตรวจสอบให้เจอว่าเป็นกลุ่มใดและโรงแรมใด โดยให้ดำเนินการจัดการขั้นเด็ดขาดด้วยการฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างและแบบอย่าง โดยกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ

ด้านผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. ยุทธศักดิ์ สุภสร ระบุ ได้หารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารกรุงไทย รวมถึงเอกชนภาคการท่องเที่ยว เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมหรือธุรกรรมต้องสงสัยที่เข้าข่ายทุจริตในโครงการนี้หลายรูปแบบ โดยมีรายชื่อโรงแรมต้องสงสัยรวม 312 แห่ง มีจำนวนผู้ใช้สิทธิ 108,962 สิทธิ และร้านค้ากับร้านอาหาร 202 แห่ง มีผู้ใช้สิทธิ 49,713 สิทธิ จากปัจจุบันมีโรงแรมเข้าร่วมโครงการรวมกว่า 8,000 แห่ง ร้านอาหาร 6.5 หมื่นแห่ง "จากนี้จะเร่งตรวจสอบโดยเร็วที่สุด หากพบว่าทุจริตจริง จะต้องถูกถอดออกจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ขึ้นบัญชีดำ พร้อมดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา โดยใช้กฎหมายในอัตราโทษขั้นสูงสุด" 
จากการตรวจสอบ ททท. พบพฤติกรรมที่เข้าข่ายทุจริต 6 รูปแบบ ได้แก่ 1.เช็กอินโรงแรมราคาถูก เช่น โฮสเทล ผ่านแอพพลิเคชันเรียบร้อย แต่กลับไม่ได้เข้าพักจริง และได้ประโยชน์จากการใช้คูปอง หรืออี-วอชเชอร์ ใช้จ่ายค่าอาหารและท่องเที่ยว มูลค่าสูงสุด 900 บาทในวันธรรมดา และสูงสุด 600 บาท หากเข้าพักในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ 
2.โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพักสูงผิดปกติ และรู้เห็นเป็นใจกับร้านอาหารหรือร้านค้าที่รับชำระคูปอง กรณีนี้ถือเป็นการซื้อขายสิทธิ แต่ไม่ได้มีการเดินทางจริง โดยพฤติกรรมดังกล่าวได้อาศัยช่องโหว่จากการที่รัฐบาลปลดล็อกเงื่อนไขให้สามารถใช้สิทธิเข้าพักโรงแรมและท่องเที่ยวในภูมิลำเนาตัวเองได้ โดยผู้ได้สิทธิรู้เห็นเป็นใจกับโรงแรม ส่งเลขบัตรประชาชน 4 หลักสุดท้ายและเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้รับรหัส OTP ยืนยันเพื่อโอนสิทธิ ทั้งนี้ 2 รูปแบบแรกเป็นรูปแบบที่ถูกพบมากที่สุด 
3.โรงแรมมีตัวตน ลงทะเบียนถูกต้อง แต่ยังไม่กลับมาเปิดบริการ กลับมียอดการขายห้องพัก กรณีนี้พบว่ามีการจองตรงผ่านโรงแรมและตัวแทนทางออนไลน์ (Online Travel Agent : OTA) ด้วย 4.มีการใช้ส่วนต่างของคูปองเพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวนกรณีร้านค้าเพิ่มราคาอาหารไปมากกว่ามูลค่าอาหาร 5.มีการเข้าพักจริงแบบกรุ๊ป ตั้งราคาสูง ได้เงินทอนจากโครงการ ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่มีการจองตรงกับโรงแรม และ 6.เปิดให้คนจองเกินกว่าจำนวนห้องพักของโรงแรม  
"มีการตรวจสอบพฤติกรรมทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนมากเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลผ่อนปรนเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ เช่น การขยายสิทธิห้องพัก ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการไปถึงสิ้นเดือน ม.ค.2564 และเปิดให้พักในภูมิลำเนาตัวเองได้ ทำให้เกิดการทำธุรกรรมที่น่าสงสัย เหมือนทำเป็นขบวนการ เน้นเล่นเกมสั้น เช่น จองล่วงหน้า 3 วันสุดท้าย ไม่จองล่วงหน้ายาวๆ" 
ขณะนี้ทุกหน่วยงานต่างร่วมกันตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยกรณีที่ 1 ถ้าโรงแรมใดมีการจองแล้ว เข้าพักแล้ว และจ่ายเงินแล้ว หากพบว่าทุจริตจริง ททท.จะเป็นผู้ฟ้องดำเนินคดีอย่างหนักทั้งทางแพ่งและอาญา ส่วนกรณีที่ 2 จองแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าพัก และไม่ได้จ่ายเงิน รวมถึงกรณีที่ 3 จองแล้ว แต่ยังไม่ได้เช็กอิน และไม่ได้จ่ายเงิน จะให้ระงับการจ่ายเงินในโครงการไปก่อน พร้อมเข้าไปตรวจสอบอย่างชัดเจน 
ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า ทราบรายชื่อโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ บอกได้แค่ส่วนใหญ่เป็นโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัด แต่ก็มีโรงแรมขนาดใหญ่บางส่วนด้วย ส่วนจะใช้กฎหมายยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมเลยหรือไม่นั้น คงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรับผิดชอบไปดูอีกที ส่วนผู้ใช้สิทธิก็ต้องไปดูที่เจตนาด้วย และเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น เดิมโครงการเราเที่ยวด้วยกันเตรียมเปิดให้ใช้สิทธิเพิ่มเติมอีก 1 ล้านสิทธิในวันนี้ แต่จำเป็นต้องเลื่อนออกไปก่อน โดยยังไม่สามารถกำหนดวันเวลาที่จะให้ใช้สิทธิจองใหม่ได้ เนื่องจาก ททท.ต้องไปตรวจสอบและคุยกับกระทรวงการคลังและธนาคารกรุงไทย ให้ได้ข้อสรุป พร้อมหาทางป้องกันการทุจริตไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ

logoline