ในงานเลี้ยงรับรองเทศกาลส่งท้ายปลายปีที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กล่าวในลักษณะยืนยันแผนการลงเลือกตั้งในปี 2567 เป็นครั้งแรกว่า "เรากำลังพยายามอยู่ต่ออีก 4 ปี มิฉะนั้นอีก 4 ปีข้างหน้า เราจะได้เจอกันอีก" คำกล่าวนี้นับเป็นการส่งสัญญาณด้วยว่า ทรัมป์เอง "รู้ตัว" แล้วว่า ความพยายามต่อสู้ทางกฎหมายของเขาคงไม่อาจพลิกผลการเลือกตั้งในปีนี้ได้
หลายคนอาจมีคำถามว่า ทรัมป์สามารถลงเลือกตั้งอีกครั้งได้หรือไม่ คำตอบก็คือ "ได้" เนื่องจากบทบัญญัติเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 22 เมื่อปี 2494 กำหนดเพียงว่า ประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย สมัยละ 4 ปี รวมเป็น 8 ปี แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งติดต่อกัน ส่วนทรัมป์จะลงแข่งในฐานะผู้แทนพรรครีพับลิกันเหมือนเดิมหรือกลายเป็น "ผู้สมัครอิสระ" ก็คงต้องรอดูกันต่อไป
เบื้องต้นมีรายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ทรัมป์ต้องการจะ "แหวกธรรมเนียม" อีกครั้งด้วยการไม่เข้าร่วมพิธีสาบานตนของโจ ไบเดน ในวันที่ 20 มกราคมนี้ และจะใช้เวลาในวันเดียวกันจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งปี 2567 แทน เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์ "ไม่ยอมรับ" ความพ่ายแพ้ ขณะที่เมื่อ 4 ปีก่อน ทรัมป์ก็เริ่มต้นหาเสียงเลือกตั้งปี 2563 ภายในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์หลังพลิกล็อกชนะฮิลลารี คลินตัน
ด้านไบเดนให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นเอ็นว่า แม้การเข้าร่วมพิธีสาบานตนเป็น "สิทธิในการตัดสินใจ" ของทรัมป์ และส่วนตัวเขาเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร แต่การมาร่วมงานของทรัมป์ถือว่ามีความสำคัญต่อทั้งประเทศสหรัฐฯ และต่อทั่วโลก เพราะนี่คือการแสดงให้เห็นถึง "การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ" ระหว่างคู่แข่งทางการเมือง
อย่างไรก็ตามทรัมป์คงไม่สนใจความเห็นของไบเดน และคงไม่มีปัญหาด้านเงินทุนหากจะเริ่มต้นหาเสียงทันที เพราะล่าสุดทีมงานของทรัมป์เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน ทรัมป์สามารถระดมทุนเพื่อ "สู้คดีเลือกตั้งในรัฐสมรภูมิ" ได้กว่า 200 ล้านดอลลาร์ ตอกย้ำความจริงที่สมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนไม่อยากยอมรับว่า ทรัมป์ยังคงเป็นบุคคลที่ "ทรงอิทธิพลที่สุด" ของพรรค
นักวิเคราะห์ในสหรัฐฯ มองว่า ผลเลือกตั้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ในระดับประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ "ไม่เอาทรัมป์" แต่หากดูการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.แล้ว พรรครีพับลิกันกลับทำผลงานได้ "ดีกว่าที่คิด" จากเดิมที่คาดว่า เดโมแครตจะพลิกครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ สุดท้ายรีพับลิกันเสีย ส.ว.ไปแค่ที่นั่งเดียว ขณะที่สภาผู้แทนราษฎร แม้เดโมแครตยังครองเสียงข้างมากไว้ได้ แต่รีพับลิกันก็ตีตื้นคว้าที่นั่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 ที่นั่ง
ด้วยเหตุนี้ การกลับมาของทรัมป์จึงเท่ากับว่า รีพับลิกันมีสิทธิกลายเป็น "พรรคของทรัมป์" แบบสุดขั้วยิ่งกว่าเดิม และยากที่คู่แข่งคนอื่นๆ ที่เป็น "อนุรักษ์นิยมพันธุ์แท้" จะสามารถผงาดเทียบชั้นได้ จนสุดท้าย รีพับลิกันอาจเหลือเพียงแค่ "คนของทรัมป์" และอาจกลายเป็นพรรคที่ทรัมป์มีไว้ "สืบทอดอำนาจ" ไปสู่รุ่นลูก ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ และอิวานกา ทรัมป์ก็เป็นได้