เชียงรายพบโควิดรายที่3แก๊งเดียวกัน

            เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวีดเชียงราย นำโดย นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ นพ.ทศเทพ บุญทอง นพ.สาธาณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดเชียงราย โดยพบจังหวัดเชียงรายพบผู้ป่วยรายที่ 3 ซึ่งเป็นหญิงอายุ 25 ปี ชาว จ.พะเยา ซึ่งเดินทางเข้ามาจากประเทศเมียนมาโดยช่องทางธรรมชาติ และได้ทำงานสถานบันเทิงที่เดียวกันกับ 2 รายที่ผบก่อนหน้านี้ในจังหวัดเชียงราย และหญิงสาวที่พบเชื้อในจังหวัดเชียงใหม่
             นพ.ทศเทพ บุญทอง กล่าวว่า กรณีของผู้ติดเชื้อรายที่ 3 นี้เป็นการหลบหนีข้ามแดนมาตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.แล้วได้พักอยู่ในโรงแรมที่ อ.แม่สาย ก่อนจะได้เดินทางเข้ามาพักในโรงแรมใน อ.เมือง จ.เชียงราย ในวันที 28 พ.ย. จากนั้นได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ว่าใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้ตัดสินใจเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจโรคพร้อมกับเพื่อนที่หลบหนีข้ามแดนมาด้วยกันอีก 2 คน รวมเป็น 3 คน โดยจากนนั้นก็ได้มีการตรวจโรคและพบว่าติดเชื้อก่อนจะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ โดยในกรณีนี้ตามหลักการถือว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกันเพราะทำงานอยู่ในสถานบันเทิงเดียวกัน เพียงแต่ว่าเข้ามาในประเทศไทยคนละเวลากัน กลุ่มของเคสนี้มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงจำนวน 6 ราย คือ คนขับรถ พนักงานโรงแรม เพื่อนที่ร่วมเดินทาง และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำคือ พนักงานโรงแรม พนักงานส่งอาหารเดลิเวอรี่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ติดตามตัวมาเพื่อตรวจหาเชื้อแล้ว

             อย่างไรก็ตามทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  ก็ได้มีการประสานกับทางศูนย์ประสานงานชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา เพื่อประชาสัมพันธ์ และประกาศให้ชาวไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศเมียนมาที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศ แม้ว่าจะเดินทางออกนอกประเทศไปตามช่องทางธรรมชาติให้มารายงานตัวที่ด่านพรมแดน โดยจะไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้ทำการคัดกรองโรคและกักตัวเพื่อดูอาการก่อนจะส่งกลับภูมิลำเนาตามปกติ

                "สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดเชียงรายนั้นไม่ได้เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากภายในจังหวัดเชียงรายแต่เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาจากประเทศเพื่อนบ้าน  และเราได้มีการสกัดกั้นได้ ซึ่งอยากจะแจ้งกับพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายว่าเชียงรายของเรายังคงมีความปลอดภัย เรายังคงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และเราสามารถป้องกันตัวเองได้โดยการ เลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนพลุกผล่าน สวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งหากปฏิบัติตามสุขอนามัยแล้วก็ยากที่จะติดเชื้อได้" นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายกล่าว
               ด้าน นพ.ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาทั้ง 3 ราย พบว่าอาการปกติยังคงแข็งแรงไม่มีอาการแต่อย่างใด และอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับในรายที่ 3 ที่เพิ่งตรวจพบนั้นเป็นการเดินทางเข้ามาสมัครใจพบแพทย์เอง โดยที่ยังไม่มีอาการ ซึ่งหากไม่เข้ามาพบแพทย์อาจจะแพร่เชื้อไปโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะตนเองไม่ได้มีอาการป่วยแต่อย่างใด ซึ่งอยากจะแจ้งให้ผู้ที่กำลังจะเดินทางข้ามแดนกลับมายังประเทศไทย  ให้เชื่อมั่นในการรักษาและเดินทางกลับมายังช่องทางที่ถูกกฎหมาย  เพื่อจะได้รับการตรวจโรคและคัดกรองอย่างถูกต้อง ซึ่งหากไม่มาตรวจโรคหรือหลบหนีไปตามช่องทางธรรมชาติแล้วจะมีความผิดตามกฎหมายแล้วหากติดเชื้อก็จะยังไปแพร่เชื้อให้กับคนใกล้ชิดรวมถึงคนในครอบครัวด้วย จึงอยากให้กลับเข้ามาอย่างถูกต้องตามกระบวนการ



    

     

       ด้าน นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  กล่าวว่า หลังจากที่พบว่าก่อนหน้านี้ได้มีการลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศโดยช่องทางธรรมชาติเป็นจำนวนมาก และได้มีการสกัดและจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด  ทางกองกำลังผาเมืองก็ได้มอบหมายให้ทาง ฉก.ม.3 กองกำลังผาเมือง ที่ดูแลพื้นที่ชายแดนแม่สาย ได้จัดกำลังเพิ่มอีก 8 ชุดปฏิบัติการในการลาดตระเวณในพื้นที่ เพื่อป้องกันการลักลอบ รวมไปถึง ได้มีตั้งจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่ชายแดน พร้อมกันนี้ในส่วนของฝ่ายปกครองก็ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ทางผู้นำหมู่บ้านคอยสอดส่องคนแปลกหน้าในพื้นที่หากพบให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ทำการตรวจคัดกรองและป้องกันการแพร่กระจายได้ รวมไปถึงการปล่อยแถวเพื่อตรวจตราการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน สำหรับก่อนหน้านี่มีกระแสข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่รับสินบนเพื่อพาบุคคลข้ามมาตามช่องทางธรรมชาตินั้น ซึ่งยังไม่พบการกระทำผิดซึ่งหน้า แต่หลับจากนี้เชื่อว่าเป็นไปได้ยากเพราะมีการเข้มงวดในการเพิ่มกำลังและการลาดตระเวณของเจ้าหน้าที่ทหาร และมีการสนธิกำลังกับหน่วยงานอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะสามรถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างแน่นอน