29 พฤศจิกายน 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา ภายหลังกรมควบคุมโรค และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ลงนามจองซื้อและซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวน 26 ล้านโดส จากบริษัท แอสตราเซนเนกา จำกัด ว่า ประเทศไทยสามารถคัดกรอง คัดแยก ควบคุม กักกัน และรักษาโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี เหลือเพียงการมีวัคซีนเท่านั้นซึ่งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คนไทยมีวัคซีนโควิด-19 ใช้เป็นประเทศต้นๆ ของโลก โดยการลงนามกับบริษัทแอสตราเซนเนกา ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเกิดประโยชน์
นายอนุทิน กล่าวว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่อภายหลังการลงนาม คือ การเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีน จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซนเนกา โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่มีศักยภาพในการผลิตยาชีววัตถุอยู่แล้ว จะเป็นผู้รับการถ่ายทอด เพื่อผลิตวัคซีนให้ได้ตามมาตรฐาน จากนั้นจะยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) และกรมควบคุมโรคจะเป็นผู้กระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายต่อไป
"ข้อดีของการลงนามกับบริษัทแอสตราเซนเนกา คือ การได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาด้วย หากซื้ออย่างเดียว เราก็ต้องซื้อตลอดไป แต่การรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้เราสามารถผลิตได้เองอย่างวัคซีนที่จองซื้อ ก็จะเป็นการผลิตภายในประเทศด้วย ทำให้ช่วยลดค่าขนส่ง รวมถึงสามารถผลิตวัคซีนอื่นๆ ด้วยเทคโนโลยีเดียวกันได้ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศด้านวัคซีน คาดว่าจะผลิตออกมาได้ในช่วงกลางปี 2564" นายอนุทิน กล่าว
ส่วนสาเหตุที่ไม่รอให้ได้ผลการทดลองเสร็จสิ้นแล้วค่อยจองซื้อ เนื่องจากจะทำให้การผลิตล่าช้าไปอีก 8-9 เดือน แต่การจองซื้อและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีก่อน เมื่อผลการทดลองออกมาดี ก็สามารถผลิตและนำมาฉีดให้แก่ประชาชนได้ทันที ซึ่งยังมีอีก 95 ประเทศทั่วโลก ที่จองซื้อรวมกว่า 3 พันล้านโดส หากรอให้ถึงวันที่วิจัยทดลองสำเร็จแล้วค่อยซื้อ ก็อาจไม่สามารถซื้อได้
ขณะที่ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เหตุผลที่ลงนามร่วมกับแอสตราเซนเนกา เนื่องจากการจัดเก็บวัคซีนใช้อุณหภูมิที่ 2-8 องศาเซลเซียส ไม่แตกต่างจากวัคซีนชนิดอื่นทำให้สามารถจัดเก็บได้สะดวก บุคลากรมีความชำนาญ การผลิตในไทยช่วยประหยัดค่าขนส่งได้กว่าร้อยล้านบาท
สำหรับกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค. 2563 โดยหลักๆ จะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นกลุ่มที่หากติดเชื้อจะกระทบระบบสาธารณสุขจะไม่มีผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อแล้วมีความเสี่ยงอาการรุนแรงสูง หรือมีโอกาสแพร่กระจายเชื้อสูง
นอกจากนี้ จะพิจารณาจากกำลังการผลิตในแต่ละเดือนเพื่อวางระบบการขนส่งให้เหมาะสม ซึ่งตามสัญญาความร่วมมือประเทศไทยจะผลิตเพื่อนำไปใช้ดูแลในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะอนุญาตในการส่งออกต่อไปสำหรับสถานที่ฉีดวัคซีน หากมีการฉีดจำนวนเป็นล้านโดส ควรใช้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีศักยภาพในการให้บริการ โดยต้องเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บ และให้ความรู้ประชาชนในการฉีดวัคซีน