svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"จตุพร"เตือนรัฐดูอดีตใช้กำลังปราบราษฎรสุดท้ายเป็นอย่างไร

26 พฤศจิกายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"จตุพร พรหมพันธุ์" เตือนรัฐอย่าใช้กำลังปราบปรามราษฎรเหมือนกระทำกับเสื้อแดง เตือนเลือดต้องล้างด้วยสันติวิธี ยุติปัญหาได้สันติภาพกลับมา ย้ำคืนชีพคดี ม.112 ยิ่งซ้ำเติมให้คนเข้าใจสถาบันผิด

26 พฤศจิกายน 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า การชุมนุมที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา จนเกิดเหตุการณ์โยนระเบิดและยิงปืนจนมีผู้บาดเจ็บนั้น ส่วนตัวเคยพูดเสมอว่า เมื่อเลือดหลั่งแล้ว ยากจะหยุด จนกว่าเลือดจะนองท้องช้าง แต่ปรากฎการณ์วานนี้ การชุมนุมของกลุ่มราษฎร ย้ายจากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มาสำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ระหว่างการชุมนุมไม่มีเรื่องราว แต่ช่วงเลิกชุมนุม เกิดเสียงระเบิด และมีคนยิงปืนจนมีผู้บาดเจ็บ 1 คน

ทั้งนี้ ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทยมักอธิบายว่า การชุมนุมมีการปะทะนำพาไปสู่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เช่นเดียวกัน ในการชุมนุมเมื่อ 14 ตุลา 2516 เกิดเลือดตก เมื่อยุติชุมนุมแล้ว จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 หลังจับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และแกนนำคนอื่นๆแล้ว ยังตามฆ่ากันตายอย่างบ้าคลั่งที่สุดกว่า 40 ศพ กระทั่งถึงชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553 มีคนตายร่วม 100 ศพ

ส่วนเหตุการณ์เมื่อวานนี้ (25 พ.ย.) เป็นไปตามรูปแบบประวัติศาสตร์การชุมนุมในช่วงท้าย ที่มักเกิดโรคแทรกขึ้นมากระทบกระทั่งจนเป็นเหตุให้เสียเลือดได้เสมอ ส่วนตัวได้แต่ภาวนาว่า รัฐอย่าใช้กำลังเข้าปราบปรามเหมือนกับคนเสื้อแดง ที่ใช้กำลังกว่า 6 หมื่นนาย เบิกกระสุนปืนอาวุธสงครามกว่า 5 แสนนัด พร้อมกระสุนสไนเปอร์กว่า 2 พันนัด สิ้นงบกว่า 6 พันล้าน เพื่อสังหารคนมือเปล่า เพราะทุกศพ ไม่มีเขม่าดินปืนติดมือแม้แต่คนเดียว

"ความตายของคนมือเปล่า สร้างความเจ็บปวดมากที่สุด และผู้ตายไม่เคยมีประวัติผู้ก่อการร้าย ไม่เคยเป็นทหาร ทุกศพล้วนเป็นคนจน คนขับแท็กซี่ ประกอบอาชีพค้าขายทั้งสิ้น ดังนั้น บาดแผลการใช้ความรุนแรงคนเสื้อแดงจึงเจ็บปวดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะถูกตราหน้าว่า ล้มล้างสถาบันบ้านเมือง" ประธาน นปช. ระบุ

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพยายามอธิบายเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต แต่ความรับผิดชอบต่างๆ กลับเป็นฝ่ายผู้เสียชีวิตที่ต้องติดคุก ถูกตามล่าดำเนินคดีมากมาย ส่วนรัฐไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น แม้แต่การเยียวยาผู้เสียชีวิต ยังถูกต่อต้านอีกด้วย

"ผมเล่าให้ฟังเพื่อต้องบอกว่า อย่าคิดปราบปรามอย่างที่กระทำกับพวกผมถูกมา บาดแผลยิ่งบาดลึกอย่าได้เกิดใหม่ขึ้นอีกครั้ง วันนี้พูดเพื่อให้เกิดสติซึ่งกันและกันว่า การป้องกันสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดต้องทำด้วยหัวใจ ต้องไม่นำสถาบันมาเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง" นายจตุพร กล่าว

ส่วนการล้อมรั้วลวดหนามสำนักงานทรัพย์สินฯ และตั้งตู้คอนเทนเนอร์ตามทางไปสำนักงานทรัพย์สินฯนั้น ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายไปทั่วโลก อีกอย่างการใช้ มาตรา 112 ยังทำเหมือนให้คิดว่าสถาบันสั่งการ เพราะเมื่อขณะนายกรัฐมนตรีประกาศไม่ใช้ ก็อ้างสถาบันไม่ให้ใช้ แล้วเมื่อเกิดความเสียหายใครควรรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้จึงย้ำให้สองเรื่อง ระหว่างรัฐบาลควรแยกออกจากสถาบัน เนื่องจากรัฐบาลคนมาไล่ได้

ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องสถาบัน ต้องปลอดจากการเมืองทุกกรณี อย่าทำสองเรื่องควบคู่กันโดยคนๆเดียว รวมทั้งเกิดเหตุการณ์ยิงกันทิ้งท้ายการเลิกชุมนุมนั้น คนยิงจะสวมชุดอะไรก็ได้ สามารถจัดฉากกันได้ เหมือนมีคนใส่เสื้อแดงขี่มอเตอร์ไซด์สะพายปืนเอ็ม 16 เข้าค่ายทหาร ก็ยังมีคนทำมาแล้ว ฉะนั้นขบวนการจัดฉากโชว์ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แยกไม่ได้ จึงมีเรื่องโรคแทรกได้ตลอดเวลา

อีกอย่าง ตนย้ำเสมอว่า การปฏิบัติในการชุมนุมนุมควรทำงานร่วมกับตำรวจเพื่อดูแลความปลอดภัย จัดชุดตรวจร่วมกัน ต้องไม่มีอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุมเพื่อยับยั้งความรุนแรงทั้งปวง ซึ่งช่วงกว่า 15 ปี เชื่อว่าชุดฝ่ายมั่นคงปัจจุบัน ได้ซึมซับวิธีการมาอย่างดีแล้วและตนต้องการอธิบายว่า ถ้ารัฐบาลเป็นด่านหน้าให้สถาบันแล้ว เรื่องคงไม่ถึงวันนี้ (26พ.ย.) และหากรัฐบาลทำความเช้าใจมาแต่ต้น ว่าพื้นที่เขตพระราชฐานอย่างสนามม้านางเลิ้ง หรือ ราชตฤณมัยสมาคม ก็พระราชทานให้เป็นสวนสาธารณะ

ขณะเดียวกัน สวนสัตว์ดุสิตจะเปลี่ยนเป็นสร้างโรงพยาบาล ถ้าอธิบายมาแต่ต้น ก็ไม่เกิดปัญหา และไม่ควรมีใครต้องมาบาดเจ็บล้มตายกันอีก ซึ่งการฆ่าคนแบบใช้สไนเปอรฺ์ยิง ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะสะสมความชิงชังให้รุนแรงกว่าอดีตมากมาย จนยากจะสงบ อีกอย่างการฆ่าไม่มีทางจบปัญหากันได้

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการแสดงความเห็นใดๆ ควรใช้แนวทางสันติวิธี การพูดให้เกลียดชังจะนิยมมากกว่าพูดให้รักกัน ซึ่งอารมณ์สังคมแบบนี้ น่าห่วงใยที่สุด และในสถานการณ์แบบนี้จึงควรดึงกลับ อย่าผลักใส ซึ่งเชื่อว่า เห็นต่างไม่ใช่ศัตรูกัน แล้วทำความจริงบนความแตกต่างให้ปรากฎ ถ้าคิดแตกต่างเป็นศัตรู ก็จะเกิดการฆ่ากัน เช่น เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มาแล้ว ซึ่งประเทศไทยปลุกกันจนสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ไป

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวหวังว่าที่ผ่านมา รัฐไม่เคยทำหน้าที่ปกป้องสถาบันเลย แต่เมื่อมาทำหน้าที่ก็ล้นเกิน ไม่ธรรมชาติ ไม่เนียน ความเสียหายยิ่งตกกับสถาบันอีก ยิ่งขนตู้คอนเทนเนอร์มาตั้งรอบทิศทาง ทำไปทำไม มีแต่เกิดความเสียหายขึ้น และได้แต่ย้ำว่า เมื่อรัฐปล่อยปละหน้าที่ จนทำให้เรื่องลามมาถึงปัจจุบัน พอฝ่ายความมั่นคงทำหน้าที่ ก็ยิ่งไปคิดเหมือนหนังสงคราม เอาตู้คอนเทนเนอร์มาตั้ง คิดได้ยังไง เมื่อคิดถึงขั้นนี้แล้ว ไปล้อมรั้วลวดหนามสำนักงานทรัพย์สินฯทำไม

"ผมจึงต้องการให้แก้ไขสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสถาบันแบบหวังดีประสงค์ดี ถ้าไม่ประสงค์ดีแล้ว ยิ่งสร้างความเสียหายเพิ่มมากขึ้น อีกอย่างเลือดล้างด้วยเลือด จะไม่ประสบความสำเร็จ การแก้ปัญหาจึงต้องล้างด้วยสันติวิธี หรือสันติภาพเท่านั้น" นายจตุพร ระบุ

logoline