24 พฤศจิกายน 2563 เวลา 10.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) น.ส.เบญจรัตน์ มีเทียน เลขานุการชมรมทนายอาสาเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยสมาชิกชมรมทนายอาสาเพื่อประชาธิปไตย เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ทัพพสาร ปานแสง รอง สว.กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิดกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ม.112 ต่อกลุ่มผู้ชุมนุมคณะราษฎร กลุ่มผู้ชุมนุมอื่นๆ ที่ออกมาเรียกร้องทางการเมืองในปัจจุบัน เนื่องจากมองว่าการบังคับใช้กฎหมาย ม.112 เป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคม ขัดต่อพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่9 และรัชกาลที่10 ที่ไม่ให้ใช้กฏหมายนี้ คำสั่งดังกล่าวว่า เเม้จะไม่ได้ระบุชัด ให้ดำเนินคดีด้วยมาตราใดบ้าง เเต่เหมือนเปิดโอกาสให้กลุ่มคนบางคน สามารถนำมาตรา 112 มาแจ้งความกับตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ ซึ่งขัดกับพระราชดำรัสของพระในหลวงรัชกาลที่ 9 เเละรัชกาลที่ 10 ที่เคยสั่งไม่ให้ใช้มาตรา 112 เพราะไม่ต้องการให้ผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองได้รับโทษที่หนักตามกฎหมาย แล้วพล.อ.ประยุทธ์ เอง ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้หากมีการบังคับใช้มาตรา 112 เป็นการขัดต่อพระราชดำรัสของพระองค์ ซึ่งจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เสียหาย เนื่องจากมาตรานี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทางการเมืองมานาน
"การใช้ มาตรา 112 จะทำให้คนไทยเกิดความแตกแยก และทำให้พระมหากษัตริย์กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน จึงไม่สมควรที่จะนำมาใช้อีก" น.ส.เบญจรัตน์ กล่าว
อ่านข่าว - "รุ้ง ปนัสยา" ขึ้นแท่น 1 ใน 100 ผู้หญิงทรงอิทธิพลแห่งปี
น.ส.เบญจรัตน์ กล่าวอีกว่า หากบุคคลผู้แจ้งความร้องทุกข์ รักสถาบันจริงใจต้องไม่นำเอา มาตรา 112 มาทำลายชาวไทยด้วยกัน และต้องทำให้เกิดความปรองดองรักใคร่สถาบันยิ่งขึ้นนั้น คือ สิ่งที่คนไทยทุกคนต้องทำ การสร้างความแตกแยกในคนไทยด้วยกันถือว่าเป็นการทำลายชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
ในวันนี้ทางชมรมจึงได้มากองปราบในวันนี้เพราะต้องการตรวจสอบและหากพบผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวก็ขอให้พิจารณาดำเนินคดีในฐานความผิดแจ้งความเท็จเพื่อกลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษทางคดีอาญาโดยที่ไม่ได้มีการกระทำความผิดจริง และ ยุยงปลุกปั่น โดยทันที
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ ก่อนส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการตามตามขั้นตอนต่อไป