"พิชาย"ชี้เงื่อนไขปฏิวัติยังไม่พอ-ดักคออย่าหาช่อง

24 พฤศจิกายน 2563 รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต อดีตคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงกระแสข่าวลือถึงเรื่องการรัฐประหาร ว่า มีมานานแล้ว และหลังจากนี้ก็คงลือต่อ หากย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย จะมีการลือเรื่องการรัฐประหารมากขึ้นช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง เพราะหาข้อยุติไม่ได้จากทั้งฝ่ายชุมนุมและฝ่ายรัฐบาล เมื่อหาข้อยุติไม่ได้ สถานการณ์ก็จะรุนแรงขึ้น และจะเป็นเงื่อนไขเกิดการรัฐประหาร

รศ.ดร.พิชาย ขยายความต่อว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ก็เช่นกัน มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ในอดีตพอสมควร ทั้งปี 2549 และปี 2557 เพราะมีการชุมนุม มีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ยังดึงดันไม่ตอบสนอง ผู้ชุมนุมก็ยกระดับ หากรัฐบาลตอบโต้รุนแรงขึ้น มีการไฟเขียวให้กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลออกมา ก็จะมีแนวโน้มปะทะกัน ก็จะเข้าสูตรเดิมๆ แม้ปัจจุบันบริบทอาจเปลี่ยนแปลงไป แต่เค้าโครงยังคล้ายของเดิม และอาจเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายที่มีศักยภาพ คือ กองทัพ อาจตัดสินใจทำรัฐประหารได้

อย่างไรก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้เป็นการมองจากสถานการณ์เพียงด้านเดียว ไม่ได้มองเรื่องความเป็นไปในกองทัพ ว่ามีความเป็นเอกภาพขนาดไหนแต่มุมมองของตนนั้น เงื่อนไขการรัฐประหารยังไม่มากพอ เหตุการณ์มวลชนปะทะกัน ตำรวจก็จัดการได้ ถ้าตำรวจเอาจริง ฉะนั้นฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า แต่ถ้าไปถามคนที่อยากทำรัฐประหาร ก็จะพยายามหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนการรัฐประหารแค่นั้นเอง

ส่วนปรากฏการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าร่วมชุมนุมที่ถนนอักษะ รวมทั้งระดมหาทีมการ์ดมาช่วยม็อบราษฎร ถือเป็นการยกระดับและประสานกันของมวลชนสองฝั่งนั้น ส่วนตัวมองว่ามีความเป็นไปได้สูง โดยสาเหตุมาจากบทบาทของรัฐสภาที่ไม่สามารถตอบสนองกับข้อเรียกร้องได้ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติม 2 ร่าง แต่ร่างของประชาชนตกไป และทั้ง 2 ร่างที่รับหลักการ ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง"ฝ่ายราษฎรมองว่าไม่สามารถใช้เวทีรัฐสภาได้ ทำให้ยกระดับการชุมนุมทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เมื่อการชุมนุมเข้มข้นขึ้น ก็ไปรวมกับกลุ่มเสื้อแดงที่มีจุดยืนต่อต้านการรัฐประหารอยู่แล้ว มองว่าการเชื่อมต่อลักษณะนี้ จะเป็นการขยายมวลชนเข้ามามีส่วนร่วมในการชุมนุมให้มากขึ้นกว่าเดิม"รศ.ดร.พิชาย กล่าว