ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายแต่ยืนยันตรงกันว่าการช่วยผู้ประกอบการที่ผลิตฟิล์มบีโอพีพีที่มีอยู่เพียงรายเดียวในประเทศแต่ส่งผลทำให้อุตสาหกรรมที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพีเป็น 100ราย อุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกกว่า 1,000 ราย ได้รับผลกระทบ และจะมีผลต่อเนื่องถึงผู้บริโภคที่จะต้องถูกผลักภาระราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการใช้มาตรการเอดี
นอกจากนี้จากการตรวจสอบเหตุผลของการขอให้เปิดไต่สวนใช้มาตรการเอดี ที่มีเงื่อนไขว่าสินค้านำเข้าได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย เช่นการผลิตลดลง ยอดขายลดลง รายได้ลดลง การจ้างงานลดลงแต่ไม่พบว่าผู้ร้องมีความเสียหายเกิดขึ้น โดยปัจจุบันยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเพราะผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ มีกำไรเพิ่มสูงขึ้นและล่าสุดมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตอีก เพราะการทำธุรกิจ หากมีผลกระทบก็จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม
ส่วนประเด็นอื่นๆที่แจ้งต่อกรมการค้าต่างประเทศ เช่น การขึ้นอากรเอดีจะทำให้ผู้ผลิตกลายเป็นผู้ผูกขาด และจะสามารถปรับขึ้นราคาเมื่อใดก็ได้หรือจะผลิตสินค้าคุณภาพใดก็ได้ , ผู้ผลิตไม่สามารถผลิตฟิล์มบีโอพีพีเกรดธรรมดาตามสเป็กที่ต้องการได้, มีปัญหาการส่งมอบล่าช้าทำให้วางแผนการผลิตไม่ได้ และหากมีการขึ้นอากรเอดีจะทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาจจะไม่ซื้อสินค้า เพราะมีราคาแพงขึ้นและหันไปนำเข้าแบบสำเร็จรูปจากต่างประเทศแทน เพราะถูกกว่าซื้อในประเทศ เป็นต้น
ด้านผู้ยื่นคำร้องให้ไต่สวนเอดี ชี้แจงว่าต้นทุนการผลิตในภูมิภาคไม่แตกต่างกัน เพราะวัตถุดิบจากน้ำมันราคาเท่ากันแต่การขายลดราคาต่ำกว่า 10-20% เป็นไปไม่ได้จึงเป็นที่มาของการขอให้เปิดไต่สวนในครั้งนี้
ขณะที่ผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงว่าได้รับนโยบายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.)ให้พิจารณาใช้มาตรการเอดีอย่างรอบคอบ อย่าให้ใครเดือดร้อน ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะคำนึงถึงผู้บริโภค ไม่ใช่ขึ้นเอดีแล้ว สินค้าแพงขึ้น ขณะเดียวกันต้องให้ความเป็นธรรมทางการค้า หากมีการทุ่มตลาด ก็ต้องช่วยเหลือตามความเหมาะสมและทำให้อุตสาหกรรมในประเทศอยู่ได้