ม.112หวนคืนเหตุความต้องการแต่ละฝ่ายไม่เท่ากัน

19 พฤศจิกายน 2563 รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (ฝ่ายกิจการสภามหาวิทยาลัย) ให้ความเห็นส่วนตัวต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมออกแถลงการณ์เตรียมใช้กฎหมายทุกฉบับและทุกมาตราดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ซึ่งยอมรับว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่จะใช้ มาตรา 112 เพื่อป้องปรามไม่ให้สถานการณ์เลยเถิดไปมากกว่านี้

ส่วนเรื่องความรุนแรงหลังมีแถลงการณ์ดังกล่าวนั้น มองว่าที่น่ากังวล คือ "มวลชนาธิปไตย" หรือ มวลชนปะทะกัน ซึ่งไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไว้ แม้รัฐประกาศใช้กฎหมาย แต่ทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอน และต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรม เท่าเทียมกันทุกกลุ่ม อีกทั้ง ประการสำคัญทุกฝ่ายจะต้องไม่สร้างเงื่อนปม จนนำไปสู่ความขัดแย้ง

"แต่ละฝ่ายต้องการไม่เท่ากัน แม้นายกฯยอมถอยคนละก้าว ด้วยการเปิดสมัยวิสามัญ แก้รัฐธรรมนูญ แต่ข้อเรียกร้องผู้ชุมนุมต้องการให้ลาออก ทำให้เกิดการถอยไม่เท่ากัน ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องไม่สร้างเงื่อนปม อาจทำให้สถานการณ์ประเทศแย่ไปกว่าเดิม" รศ.ดร.ยุทธพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจากฝ่ายความมั่นคงแจ้งว่า แถลงการณ์ของนายกฯ ที่ประกาศจะบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่ ดำเนินการต่อผู้ชุมนุมที่กระทำผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนกฎหมาย และเพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่าจะนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลับมาบังคับใช้อีกครั้ง

รายงานแจ้งต่อว่า โดยกฎหมายมาตรานี้ยังไม่ได้ยกเลิกไป เพียงแต่ชะลอการใช้ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยออกมาพูดก่อนหน้านี้ แต่เมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้น และกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงเดินหน้าท้าทายกฎหมาย และเคลื่อนไหวท้าทาย ดูหมิ่น แสดงอาการอาฆาตมาดร้าย ด้วยถ้อยคำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงจึงเห็นตรงกันว่า สมควรนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลับมาบังคับใช้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม หากไม่บังคับใช้ อาจกลายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ และสุจริตชน หรือบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่เคารพเทิดทูนสถาบันฯ จะยิ่งมองว่ารัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องละเลยเพิกเฉย จะยิ่งบานปลายกลายเป็นความขัดแย้ง และอาจนำมาสู่การใช้ความรุนแรงตอบโต้ฝ่ายที่ดูหมิ่นสถาบันหลักของชาติได้

อนึ่ง สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี"