แน่นอนว่า ประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศที่มีความแตกต่างของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ คดีที่เกี่ยวกับ "Hate Crimes" จึงอาจจะเกิดมาจากทัศนคติที่แตกต่างกันซึ่งรวบไปถึงเรื่องของความเชื่อทางการเมือง ชนชั้น หรือสถานะทางสังคมโดยเฉพาะในช่วงที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศมีความร้อนแรงทำให้อาจจะเกิดปัญหาอาชญากรรมการทะเลาะวิวาท หรือการด่าทอกันผ่านโลกออนไลน์จนกลายเป็นคดีความที่เกิดมาจาก "อคติ"ที่นำไปสู่ความเกลียดชังทางการเมืองได้
"เนชั่น ทีวี" ยังพบข้อมูลอีกว่า สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯหรือ FBI มีการเปิดเผยถึงอัตราการเกิด "Hate Crime" ในสหรัฐฯในรอบปีที่ผ่านมา มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง2.7 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา โดยมีรายงานของ FBI ระบุว่า ปี 2019 ได้เกิดคีที่เกี่ยวข้องกับ "Hate Crime" จำนวนกว่า 7,314 ครั้ง
นอกจากนี้ ยังพบว่า คดีอาชญากรรมประเภท "HateCrime" เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตลอดช่วง 3 ปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นช่วงที่
สหรัฐฯ เกิดเหตุความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆอีกด้วย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และศาสนา
ส่วนทางออกของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจารย์จอมเดช มองว่า สิ่งแรก คือ การออกมายอมรับความผิดพลาดในการบริหารประเทศในหลายๆเรื่องของรัฐบาลรวมถึงตัวผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรี แต่บ้านเราไม่มีวัฒนธรรมการรับผิดชอบด้วยการลาออกเพราะจะถูกมองว่า เป็นการยอมแพ้ และไม่ต่อสู้เพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติในฐานะผู้นำ
ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมเองก็หยิบยกเรื่องราวที่ไม่สมควรมาเป็นประเด็นในการเรียกร้อง ก็คือ ประเด็นการจาบจ้วงล่วงละเมิดหรือต้องการล้มล้างสถาบัน ซึ่งตนมองว่า เป็นสิ่งที่เรียกร้องมากจนเกินไป แน่นอนว่ากลุ่มเยาวชนที่ออกมาเรียกร้องอาจจะเกิดไม่ทันในยุคที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงมีความผูกพันและได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชน ส่วนตัวมองว่า การเรียกร้องระบบการปกครองที่มีประธานธิบดีอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับประเทศไทย เพราะหลายประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกาที่ใช้ระบบการปกครองที่มีประธานธิบดีก็ยังมีปัญหาการเมืองและความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ