"กรมฯได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายทั้งอุตสาหกรรมภายใน อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย"
ทั้งนี้ในการหารือผู้ผลิตได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในหลายประเด็นเช่น การกำหนดราคาสินค้าที่แข่งขันได้ การส่งมอบสินค้าที่ทันต่อความต้องการและการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ เป็นต้น และผู้ผลิตยังรับที่จะเดินสายคุยกับผู้นำเข้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าระหว่างกันต่อไป
นายกีรติ กล่าวว่า กรมฯ ได้ประกาศเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2563และได้จัดส่งแบบสอบถามให้ผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้ผลิตในประเทศไทย ผู้ส่งออกจาก3 ประเทศดังกล่าว และผู้นำเข้าของไทย ตอบข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการไต่สวนแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำตอบแบบสอบถามและได้เปิดรับฟังข้อคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งกระบวนการไต่สวน
สำหรับการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีเกรดทั่วไป จากมาเลเซีย จีนและอินโดนีเซีย ในปี 2560-2562 คิดเป็นปริมาณร้อยละ 75.58 79.89 และ 87.50ตามลำดับ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดโดยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือมีปริมาณนำเข้า 12,410.8915,074.88 และ 18,541.18 ตัน และคิดเป็นมูลค่า 717.67 902.10 และ 1,019.37ล้านบาท ตามลำดับ
ช่วง 9 เดือน ปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีจากมาเลเซียสูงที่สุดรองลงมา คือ จีน และอินโดนีเซีย โดยมีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ 7,257.23 5,605.14และ 3,080.52 ตัน ซึ่งมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 355.55271.40 และ 213.07 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสัดส่วนการนำเข้าจากทั้ง 3ประเทศรวมกันคิดเป็นร้อยละ 85.33 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดหากปล่อยให้มีการทุ่มตลาดสินค้าดังกล่าวจากทั้ง 3 ประเทศโดยไม่มีมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐจะทำให้ผู้ประกอบการฟิล์มบีโอพีพีได้รับความเดือดร้อนและอาจต้องปิดกิจการลง หรือจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศและส่งผลให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว