svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

พาณิชย์ยันดูแลผลกระทบกรณีไต่สวนเก็บภาษีเอดีฟิล์มบีโอพีพี

18 พฤศจิกายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กรมการค้าต่างประเทศยืนยันพร้อมรับฟังความคิดเห็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ กรณีเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพี เหตุมีผลต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ทั้งบรรจุภัณฑ์พลาสติก อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในครัวเรือน ส่วนผลการจัดเวทีรับฟังความเห็น ได้หารือถึงผลกระทบ มาตรการเยียวยา พร้อมย้ำที่เปิดไต่สวน เหตุพบมีการทุ่มตลาดจริง

นายกีรติรัชโน  อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวถึงกรณีที่อุตสาหกรรมต่อเนื่องมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดไต่สวนเพื่อพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(เอดี) สินค้าฟิล์มบรรจุภัณฑ์ไบแอคเซียลลี ออเรียนเต็ดโพลิโพรพิลีน (บีโอพีพี) เกรดทั่วไป จาก 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย จีนและอินโดนีเซีย ว่า กรมฯ ตระหนักดีถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องเนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีห่วงโซ่อุปทานยาวและเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมากซึ่งใช้ฟิล์มบีโอพีพีเช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกรวมถึงอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น จึงได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้ผลิต ผู้นำเข้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2563เพื่อหารือถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางเยียวยาหากมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพี เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาไต่สวน

          










"กรมฯได้ดำเนินการไต่สวนการทุ่มตลาดอย่างรอบคอบและคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายทั้งอุตสาหกรรมภายใน อุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะอย่างรอบด้าน เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย"

          

 












ทั้งนี้ในการหารือผู้ผลิตได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันในหลายประเด็นเช่น การกำหนดราคาสินค้าที่แข่งขันได้ การส่งมอบสินค้าที่ทันต่อความต้องการและการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ เป็นต้น และผู้ผลิตยังรับที่จะเดินสายคุยกับผู้นำเข้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีและสร้างความเชื่อมั่นในการทำการค้าระหว่างกันต่อไป

          














นายกีรติ กล่าวว่า กรมฯ ได้ประกาศเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2563และได้จัดส่งแบบสอบถามให้ผู้มีส่วนได้เสีย ได้แก่ ผู้ผลิตในประเทศไทย ผู้ส่งออกจาก3 ประเทศดังกล่าว และผู้นำเข้าของไทย ตอบข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการไต่สวนแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคำตอบแบบสอบถามและได้เปิดรับฟังข้อคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งกระบวนการไต่สวน

          

 























สำหรับการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีเกรดทั่วไป จากมาเลเซีย จีนและอินโดนีเซีย ในปี 2560-2562 คิดเป็นปริมาณร้อยละ 75.58 79.89 และ 87.50ตามลำดับ ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดโดยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือมีปริมาณนำเข้า 12,410.8915,074.88 และ 18,541.18 ตัน และคิดเป็นมูลค่า 717.67 902.10 และ 1,019.37ล้านบาท ตามลำดับ

 















 

ช่วง 9 เดือน ปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.) ไทยมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีจากมาเลเซียสูงที่สุดรองลงมา คือ จีน และอินโดนีเซีย โดยมีปริมาณการนำเข้าอยู่ที่ 7,257.23 5,605.14และ 3,080.52 ตัน ซึ่งมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 355.55271.40 และ 213.07 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสัดส่วนการนำเข้าจากทั้ง 3ประเทศรวมกันคิดเป็นร้อยละ 85.33 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดหากปล่อยให้มีการทุ่มตลาดสินค้าดังกล่าวจากทั้ง 3 ประเทศโดยไม่มีมาตรการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐจะทำให้ผู้ประกอบการฟิล์มบีโอพีพีได้รับความเดือดร้อนและอาจต้องปิดกิจการลง หรือจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานภายในประเทศและส่งผลให้ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าฟิล์มบีโอพีพีจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว

 

logoline