svasdssvasds
เนชั่นทีวี

บันเทิง

"ผ่องศรี วรนุช" จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน

18 พฤศจิกายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศิลปินแห่งชาติ "ผ่องศรี วรนุช" ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงลูกทุ่งมา 65 ปี ล่าสุดออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เผยอดีตเคยเป็นเด็กรับใช้คณะละคร ชีวิตที่กว่าจะดวงดาวราชินีลูกทุ่ง "ผ่องศรี วรนุช" คนแรกของไทย



เรื่องราวของ  แม่ผ่องศรี  ศิลปินแห่งชาติ กว่าจะมีทุกวันนี้ได้ต้องฝ่าฟันอะไรมากมาย และไม่บ่อยนักที่ แม่ผ่องศรี โดยมากแม่จะไม่ค่อยได้ออกมาสัมภาษณ์ แต่ตอนนี้อายุมากแล้วก็เลยออกมาอัพเดตให้แฟนๆ ได้เห็นหน้าบ้าง 




"ผ่องศรี วรนุช"  จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน



คุณแม่เริ่มต้นร้องเพลงตั้งแต่อายุเท่าไหร่?
"เริ่มร้องเพลงตั้งแต่อายุ 14 ปีค่ะ จริงๆ เราไม่ได้ใฝ่ฝันว่าจะเป็นนักร้องลูกทุ่งเลยค่ะ แต่เพราะครอบครัวเรายากจน แม่เป็นแม่ค้า พ่อเป็นตำรวจ เลี้ยงลูก 6 คน แต่พอพ่อเข้าปลดเกษียณแล้วในสมัยนั้นไม่มีเงินให้หลังปลดเกษียณแล้ว พี่น้องแม่เรียนจบป.4 ทุกคน เพราะแม่ไม่มีเงิน แต่เราขอแม่อยากเรียนจบม.3 เพราะตอนนั้น ถ้าเรียนจบม.3 ก็มีงานทำแล้ว"

"แต่แม่บอกว่าเขาไม่มีเงิน เราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหางานทำส่งตัวเองเรียนเอง เราก็ขายผักบุ้งบ้าง ไอติมบ้าง ขายลูกอมบ้าง พอจบม.3 เราสอบเข้าม.4 ได้ แต่แม่ไม่ให้เรียนแล้ว เราก็เสียใจ เราไม่ได้อยากเป็นนักร้อง อยากจะทำงานราชการ งานอะไรก็ได้ที่ได้งานไว้เลี้ยงดูครอบครัว"



แล้วมาเป็นนักร้องได้ยังไง?
"ตอนนั้นครูจากกรุงเทพฯ ไปสอนที่โรงเรียน สอนขับร้อง ซึ่งแม่ก็จะเข้าประกวดทุกครั้ง ในห้องที่ครูมาสอน เราก็ไม่รู้ว่าเราเสียงดีหรือเปล่า เพราะเราไม่รู้จักตัว ร. ตัว ก. ไม่รู้ว่าจะร้องยังไง เพราะเรามีเสียงอย่างเดียวก็จะตะโกนร้อง ครูเขาก็บอกเราว่าร้องแบบนี้ไม่ได้นะ เขาก็สอนเราร้องเพลง นั่นก็คือจุดเริ่มต้นทำให้เราชอบการร้องเพลง ซึ่งครูเขาก็สร้างโรงละครในโรงเรียน ซึ่งเราก็ได้ร่วมร้องเพลงด้วย ซึ่งเราก็ร้องเพลงได้ในตอนนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครสอนว่าตัว ร. ตัว ก. มันต้องมีพยัญชนะถ้าเกิดเราบันทึกแผ่นเสียงไปแล้วมันจะไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง"



แต่ก่อนที่จะได้บันทึกแผ่นเสียง ก่อนที่จะมาเป็นนักร้อง คือไปอยู่ในคณะละครเร่มาก่อน?
"ใช่ค่ะ พอหลังพอไม่ได้เรียนม.4 แล้วมีละครวิกไปเล่นแถวบ้าน เขาเก็บเงินค่าเข้า 3 บาท ถามว่ามีเงินมั้ยตอนนั้นไม่มีเลยค่ะ แต่เพราะมีคนใจดีให้เงินเราเข้าไปดู"

เหมือนละครเวทีไหม?
"เหมือนละครเวทีเลยค่ะ แต่จะมีคนบอกบทอยู่ข้างฉาก บอกบทกันสดๆ เลยแล้วนักแสดงก็จะพูดตาม คือนักแสดงต้องใช้ความจำเยอะมาก แล้วคือในวันนั้นที่เราได้เข้าไปดูละครมันไม่มีที่นั่งเราเลยนั่งกับพื้น แล้วเจ๊หมวยคนที่อยู่โรงละครเขาก็เรียกเราขึ้นไปนั่งข้างบน แม่ก็ขึ้นไปนั่งข้างฉาก แล้วก็ได้นั่งคุยกันเขาเลยชวนเรามาอยู่โรงละครด้วยกันมั้ย"
"เราก็บอกเขาว่าเรายังเด็กอยู่เขาไม่รับหรอกเป็นเด็กบ้านนอก ดำก็ดำ สวยก็ไม่สวย เจ๊หมวย เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวไปพูดกับคุณหนูให้ คุณหนูเขาบอกว่าต้องไปพาพ่อแม่มาฝากนะ เราก็เลยพาแม่ไปฝากเข้าไปอยู่โรงละคร เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้ทำงาน หรืออยู่ที่โรงละคร เวลาที่พี่ๆ น้องๆ เขาออกเรือนกันไปหมดแล้วเรายังทำงานเลี้ยงแม่ได้"



ที่ไปทำโรงละคร คืออยากได้เงิน หรืออยากเล่นละคร? 
"อยากได้เงิน เข้าไปตอนแรกคือเราเข้าไปในฐานะรับซื้อของให้กับคนในโรงละคร อย่างเขาอยากได้น้ำ อยากกินอะไรเราก็ไปซื้อให้ แล้วก็นั่งชักฉาก เปลี่ยนฉาก ได้วันละ 3 บาท"

แล้วอะไรที่นำมาสู่การร้องเพลงได้?
"พอคุณหนูเขาถามว่ามาอยู่ที่นี่ได้อะไรบ้างได้วิชาอะไรบ้าง แม่ก็บอกว่าคุณหนูจะให้ทำอะไรเราทำได้ทุกอย่างเพราะแม่จะนั่งอยู่ข้างฉากตลอดเวลา ใช้เป็นครูพักลักจำ เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างนั้น เต้นระบำได้มั้ยมีผู้หญิง 6 คน เล่นละครเรื่อง สโนว์ไวท์ เต้นระบำแขกแม่ก็ได้เต้นระบำตรงนั้นและประสบความสำเร็จ เลยได้ไต่เต้าตรงนั้นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้เป็นนางเอกละครนะคะ เป็นตัวแม่ก่อน"


ตอนไหนที่กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นนางเอก?
"อยู่ตรงนั้นเกือบจะสองปี แล้วคุณหนูถามว่าทำอะไรได้อีก ร้องเพลงเป็นมั้ย แม่ก็บอกว่าเป็นค่ะ แต่พอแม่ร้องคือแม่ไม่รู้ว่าจะออกเสียงควบกล้ำยังไง ครูลภก็เลยมาสอนให้ 4 คำ กลับ เกลียด โกรธ รัก ครูให้ไปท่องมาให้ได้ก่อน พอคล่องแล้ว ค่อยเอาเพลงมาสอนต่อ"


หนทางไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลังจากนั้นก็ลาออกแล้วเดินทางเข้าสู่เมืองมาพร้อมกับครูเพลงหาคนปั้น เพราะตอนนั้นตั้งใจว่าจะเป็นนักร้องแล้ว?
"ใช่ค่ะ แต่เราก็คิดนะคะว่าจะมีใครปั้นเรามั้ย มเราดำ เพราะแม่ออกจากโรงละครมาก็ยังเด็กอยู่เลยตอนนั้นอายุแค่ 14 ไม่เกิน 16 แต่สุดท้ายที่เราเข้ามาหาคนเพลงให้เราก็ไม่มีค่ะ เพราะว่าครูลภเขาพาเราไปห้างโน่นนี่ เขาก็บอกว่าไปเอาเด็กที่ไหนมาสวยก็ไม่สวย ปั้นลำบาก"




"ผ่องศรี วรนุช"  จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน



แล้วมาดังเป็นพลุแตกได้ยังไง มาร้องคู่ครูสุรพล สมบัติเจริญ ได้ยังไง?
"ตอนนั้นแม่เก็บเงินที่ทำงานอยู่ในโรงละครได้ 20,000 บาท ที่สมัยนั้นเราเริ่มจากที่เราได้วันละ 3 บาท แล้วพอแม่มาร้องหน้าม่านแม่จะได้รางวัลด้วย แม่เก็บเงิน 2 บาท ใช้ 1 บาท พอมาเป็นนางรำเราก็ได้ 300 เรื่อยไป 500 ก็เกือบมาเรื่อยๆ จนได้ 20,000 เราเลยเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะอยู่ตรงนั้นไม่มีใครอัดเสียงได้""เราเลยบอกครูลภว่าไปซื้อเพลงได้มั้ย เลยได้เพลงของพี่สุรพลมาในราคา 300 บาท แม่เลยได้อัดเพลงนั้น ช่วงจังหวะที่แม่ได้บันทึกเพลงนั้นมันมีจังหวะ ชะ ชะ ช่า แม่ก็ได้ร้องเพลงมันเลยดัง แต่คนไม่รู้จักตัวเรา ชื่อเพลงที่เราร้องตอนนั้นคือ หัวใจไม่มีใครครอง"



ไปเจอกับครูสุรพล ได้ยังไง?

"หลังจากที่อัดเสียงแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเขาจัดงานให้กับคุณแม่เขา เขาก็เชิญลูกทุ่งลูกกรุงไปกันหมดเลย พวกพี่เขาก็ขึ้นร้องกันพอถึงคิวเราก็ขึ้นไปร้อง แล้วพอเราลงจากเวทีมาเราก็ยกมือไหว้ (ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้จักเลยว่าเป็นพี่สุเทพ พี่สุรพล) แต่เขาคงถูกซะตาเรา ครูสุรพล เขาก็ถามว่าครูลภไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน เรียบร้อย นิสัยดี เสียงดี เดี๋ยวถ้าหากว่ามีเพลงมีอะไรจะติดต่อมานะ"

"บางทีครูเขามาหานั่งรถมามีเนื้อเพลง แต่ยังไม่ได้อัดเสียงนะคะ ต่อเพลงกันให้จำเนื้อเพลงให้ได้ก่อน ถ้าเราจำได้เมื่อไหร่ ก็จะกลับมาหาอีกครั้งแล้วจะได้จองห้องอัดเสียงไปอัดเสียงกันอีกครั้ง"





การที่ได้ร่วมงานกันคือการร้องเพลงแก้กับคุณสุรพล สมบัติเจริญ ถือเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของแม่เลยใช่ไหม?
"เปลี่ยนเลยค่ะ เพลงที่แม่ร้องแก้ คือเพลงลืมไม่ลง และ ไหนว่าไม่ลืม"


แต่ความภาคภูมิใจสูงสุดอีกหนึ่งครั้งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม่คือการได้รับพระราชทานเป็นศิลปินแห่งชาติ?
"แม่ได้รับพระราชทานปี 2535 ค่ะ ตอนนั้นไม่รู้ตัวเลยแม่ยังไม่รู้เลยว่าศิลปินแห่งชาติคืออะไร ตอนนั้น แม่ถูกรับเชิญไปร้องเพลงที่ระยอง แล้วภรรยาของกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเขาดูทีวี แล้วเขาเห็นว่าเราได้รับพระราชทานก็ปั่นจักรยานมาบอกว่าแม่เขาได้ศิลปินแห่งชาติ ตอนนั้นเรายังไม่รู้สึกอะไรเพราะเราไม่รู้ว่าคือรางวัลอะไร แต่พอกลับมาบ้านเราเห็นหนังสือพิมพ์เห็นข่าวเราลงอยู่ แทบจะเป็นลมเลยไม่คิดว่าเราจะได้ตรงนั้นขึ้นมา"



"ผ่องศรี วรนุช"  จากเด็กรับใช้คณะละคร สู่นักร้องลูกทุ่งระดับตำนาน


"ซึ่งกว่าที่เราจะมายืนอยู่จุดนี้ได้เราต้องขอบคุณคุณแม่ของเรามากๆ ในวันที่เราบันทึกเสียงพอแม่ของเราทราบท่านก็ดีใจ แล้วเราก็บอกแม่ไว้ว่า แม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯ แม่ให้ทองมาสลึงหนึ่ง ถ้าลำบากกลับมานะแม่เลี้ยงได้ เราบอกว่าแม่จำไว้นะถ้าหนูเข้ากรุงเทพฯ ถ้าหนูไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน จะไม่ย้อนกลับมา จะไปตายเอาดาบหน้า แต่ถ้าวันใดที่หนูมีบ้านมีที่ดิน หนูจะรับพ่อแม่มาเลี้ยงให้หมดทุกคน และแม่ก็ทำได้พาครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่"



ที่มารายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561

logoline