ด้านนายกีรติ รัชโนอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าบีโอพีพีฟิล์มได้เปิดมาตั้งแต่เดือนก.ค. 2562 เพราะคำขอของอุตสาหกรรมภายในพบว่ามีการทุ่มตลาดจริงและได้มีการส่งแบบสอบถามไปให้ผู้ประกอบการของไทยและผู้ส่งออกของประเทศที่ถูกระบุว่ามีการทุ่มตลาดแล้ว ทั้งจีน อินโดนีเซียและมาเลเซีย น่าจะได้คำตอบกลับมาหมดแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาแต่ยังไม่รู้ว่าผลการพิจารณาจะมีการเรียกเก็บอากรเอดีหรือไม่ ยังไม่เห็นข้อมูลต้องรอผลก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 17 พ.ย.2563 กรมการค้าต่างประเทศได้เชิญผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบหากจะมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพีเกรดทั่วไปที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ให้เข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นเหตุผลที่ไม่ต้องการให้มีการใช้มาตรการเอดี รวมถึงให้ข้อเสนอแนะและมาตรการเยียวยาที่ผู้ประกอบการต้องการ
ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศได้ประกาศเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าบีโอพีพีเกรดทั่วไปที่มีแหล่งกำเนิดจากจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซียหลังจากที่ผู้ประกอบการภายในประเทศ ได้ร้องขอให้มีการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะรวบรวมข้อมูลนำเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน(ทตอ.) ที่มีนายจุรินทร์เป็นประธานพิจารณา
ก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดสินค้าฟิล์มบีโอพีพี ประมาณ 100 รายกำลังจะทำเรื่องร้องเรียนต่อนายจุรินทร์ ในฐานะประธาน ทตอ.ให้พิจารณากรณีการขึ้นอากรเอดีอย่างรอบคอบเพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพีเป็นวัตถุดิบทั้งอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน เทปกาว สติกเกอร์ เคลือบกระดาษและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ฟิล์มบีโอพีพี เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่มยาและเวชภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคล ของใช้ในครัวเรือน และอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจปีละกว่า 1 แสนล้านบาทได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น และอาจจะกระทบต่อเนื่องถึงผู้บริโภคที่จะต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น