รายงานอ้างแหล่งข่าววงในใกล้ชิดทรัมป์ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ทรัมป์กลัวความพ่ายแพ้มากที่สุด ไม่ใช่เพราะเรื่องภาพลักษณ์ "แพ้ไม่เป็น" ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกลัวว่าตัวเองจะ "ถูกดำเนินคดี" ที่ตามมาเป็นหางว่าวด้วย
เราไม่มีทางทราบเลยว่าทรัมป์เก็บงำ "เรื่องลับ" อะไรของตัวเองไว้บ้าง แต่เท่าที่ตกเป็นข่าวจนถึงขณะนี้ ทรัมป์มี "ความเสี่ยง" เจอคดีอย่างน้อย 5 ข้อหา
1. คดีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปี ระหว่างที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ซึ่งแม้เจ้าตัวจะลงจากเก้าอี้ผู้นำแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็สามารถย้อนกลับมาหลอกหลอนทรัมป์ได้เสมอ โดยเฉพาะข้อหา "ขัดขวางกระบวนการยุติธรรม" จากการที่เขาไปกดดันคณะสอบสวนทีมหาเสียงของตัวเองตามข้อกล่าวหา "สมคบคิดกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้ง" ซึ่งแม้ท้ายที่สุด ทีมงานที่นำโดยโรเบิร์ต มุลเลอร์ อดีต ผอ.เอฟบีไอ จะไม่สามารถตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียโดยตรงได้ แต่คนใกล้ชิดของทรัมป์หลายคนก็ต้องติดคุกจากความผิด "ให้การเท็จ" ต่อเอฟบีไอ
2. ข้อหา "ฉ้อโกง" และ 3. ข้อหา "ตกแต่งบัญชี" สองข้อหานี้มีที่มาจากการสืบสวนของอัยการเขตแมตฮันตันในรัฐนิวยอร์กเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยเริ่มจากการ "แกะรอยเส้นทางเงิน" ที่อดีตทนายส่วนตัวของทรัมป์จ่ายเป็น "ค่าปิดปาก" ให้กับดาราหนังผู้ใหญ่ 2 คนที่เคยมีสัมพันธ์ลับกับทรัมป์ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2559 แต่ต่อมาได้ขยายการสืบสวนครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการที่ไม่ชอบมาพากลของ "ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น" ทั้งหมด
4. ข้อหา "เลี่ยงภาษี" จากการเปิดโปงของนิวยอร์กไทม์สที่ได้ข้อมูลการยื่นแบบภาษีของทรัมป์ในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า ทรัมป์แทบไม่จ่ายภาษีเงินได้เลย และบางปีที่จ่าย เช่น ปี 2559 และ 2560 ซึ่งตอนนั้นทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐฯ แล้ว แต่กลับจ่ายเพียง 750 ดอลลาร์ สวนทางกับประธานาธิบดีคนที่ผ่านๆ มาที่จ่ายภาษีหลักแสนดอลลาร์ต่อปี
5. ข้อหา "ล่วงละเมิดทางเพศ" โดยหลายสิบปีที่ผ่านมา ทรัมป์มีประวัติล่วงเกินผู้หญิงมาแล้วหลายสิบคน โดยสองคนที่คดียังยืดเยื้อก็คือ นักเขียนประจำนิตยสารแอลล์ที่บอกว่าเคยถูกทรัมป์ข่มขืน และอดีตผู้เข้าแข่งขันรายการเรียลลิตี้ของทรัมป์ที่อ้างว่าเคยโดนลวนลามที่โรงแรม ซึ่งหลังจากทรัมป์ปฏิเสธข้อกล่าวหา ทั้ง 2 คนก็ฟ้องกลับในข้อหา "หมิ่นประมาท"
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทรัมป์เคยกล่าวแบบ "ทีเล่นทีจริง" บนเวทีหาเสียงว่า "ถ้าผมแพ้ให้กับผู้ท้าชิงที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง ผมคงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สงสัยผมคงต้องหนีออกนอกประเทศ" มาถึงเวลานี้ ใครจะรู้ว่าทรัมป์จะ "เอาจริง" หรือไม่
ต่อจากนี้ต้องจับตาว่าประธานาธิบดีไบเดนจะจัดการกับทรัมป์อย่างไร โดยเฉพาะรัฐมนตรียุติธรรมคนใหม่จะตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาไล่ล่าเอาผิดทรัมป์หรือไม่ อย่างไรก็ตามหากไบเดนเดินหน้าดำเนินคดีทรัมป์ สังคมอเมริกาที่แตกแยกอยู่แล้วก็อาจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ เพราะคนที่ยังรักและศรัทธาในตัวทรัมป์ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ ไบเดนจึงให้สัมภาษณ์ว่า "การดำเนินคดีอดีตประธานาธิบดีเป็นสิ่งที่ไม่ปกติเอามากๆ และคงไม่ค่อยดีต่อประชาธิปไตย" แต่ก็ยืนยันว่า เขาจะไม่แทรกแซงการทำงานของรัฐมนตรียุติธรรรมคนใหม่หากต้องการดำเนินคดีทรัมป์ขึ้นมาจริงๆ เพราะรัฐมนตรียุติธรรมไม่ใช่ "ทนายส่วนตัว" ของประธานาธิบดี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คงทำให้หลายคนนึกย้อนไปถึงสมัยอดีตประธานาธิบดี "ริชาร์ด นิกสัน" ที่ชิงลาออกก่อนที่ตัวเองจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งจากกรณีอื้อฉาว "วอเตอร์เกท" โดยประธานาธิบดีเจอรัลด์ ฟอร์ด ที่รับตำแหน่งในเวลาต่อมาเลือกที่จะ "อภัยโทษ" ให้กับทุกความผิดของนิกสัน แม้ประชาชนจำนวนมากจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ประธานาธิบดีฟอร์ดก็ย้ำว่า การตัดสินใจของเขาก็เพื่ออนาคตของประเทศ