วิกฤตการณ์บ้านเมืองที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ แทบทุกเสียงระบุตรงกันว่ายังมองไม่เห็นทางออก
- ฝั่งม็อบก็นัดชุมนุมไปเรื่อยๆ ด้วยข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อที่บางข้อเป็นจริงได้ยากมาก
- เริ่มเกิดม็อบย่อยๆ แตกตัวออกมาอีกหลายกลุ่ม หลายพวก ขยายข้อเรียกร้องไปอีกบานตะเกียง
- ข้อเรียกร้องบางเรื่องเป็นความต้องการเฉพาะกลุ่ม เฉพาะตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสังคมโดยรวม
การจัดชุมนุมปิดถนน สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไป และเจ้าหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการอำนวยความสะดวก ยิ่งปล่อยให้เกิดม็อบเฉพาะกลุ่มขึ้นบ่อยๆ ยิ่งทำให้เห็นบรรยากาศของ "อนาธิปไตย" ใครจะทำอะไรก็ทำได้ ผิดกฎหมายก็ไม่เห็นเป็นอะไร สุ่มเสี่ยงทำให้เกิดการปะทะหรือใช้ความรุนแรงจากกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย
สถานการณ์แบบนี้ซ้ำเติมเศรษฐกิจยุคโควิดให้สาหัสยิ่งขึ้น แม้จะมีบางกลุ่มได้รับประโยชน์จากการชุมนุมบ้างก็ตาม เช่น พ่อค้าแม่ค้า แต่ภาพความไร้เสถียรภาพและความไม่สงบทางการเมืองฉุดความเชื่อมั่นของประเทศมากกว่า ทั้งๆ ที่เรารับมือกับโควิด-19 ได้ดีที่สุดในโลก
ขณะที่ฝั่งรัฐบาล นายกฯก็ประกาศชัดว่าไม่ลาออก ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญก็ยังไม่แน่ว่าจะรับหลักการร่างแก้ไขฉบับใดฉบับหนึ่งเพื่อเดินหน้าตั้ง ส.ส.ร.ยกร่างกติกาประเทศใหม่หรือไม่ และถ้ารับเฉพาะร่างของรัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าปัญหาจะจบลงหรือเปล่า เพราะก็จะกลายเป็นว่ารัฐบาลคุมเกมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆ ที่ถ้ารับร่างของฝ่ายค้าน อีกฝั่งหนึ่งก็จะคุมเกมผ่าน ส.ส.ร.จากการเลือกตั้ง 200 คนเหมือนกัน)
ส่วนโมเดลการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ก็ถูกปฏิเสธจากคู่ขัดแย้งหลายฝ่าย แถม ส.ส.รัฐบาลเองยังออกมาบริภาษแนวคิดดึงอดีตนายกฯมาร่วมแก้ขัดแย้ง จนกลายเป็นข่าวดังโครมคราม
ปัจจุบันจึงเกิดคำถามเซ็งแซ่ไปทั่วว่า เราจะอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
ล่าสุดมีการพูดถึงกันมากเกี่ยวกับวันที่ 2 ธ.ค. ว่าอาจเป็นวันชี้ชะตา ปลดล็อกการเมืองที่กำลังถึงทางตัน เพราะเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคำร้องที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากการเป็ฯนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติ จากกรณีที่ยังพำนักอยู่ในบ้านพักทหาร ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
จริงๆ คดีนี้ออกได้ทั้ง 2 หน้า และโอกาสที่ศาลจะวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัติน่าจะมีเยอะกว่า เนื่องจากกฎระเบียบของการพักอยู่ในบ้านพักทหารนั้นมีลักษณะเฉพาะอย่างมาก เพราะทหารมีระบบการดูแลผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่เคยทำคุณงามความดีให้กับหน่วยหรือประเทศชาติ แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้ว แต่ก็ยังมีระบบดูแลต่อเนื่อง
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเกษียณด้วย ก็ต้องถือว่าเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา (ในกองทัพ) ที่กลับมาเป็นผู้บังคับบัญชาอีกรอบ (ในทางการเมือง/รัฐบาล) ซึ่งส่วนตัวผมเห็นว่าศาลน่าจะยกคำร้อง
แต่คำวินิจฉัยวันที่ 2 ธ.ค.ถูกมองว่ามีความสำคัญ เพราะมีการนำไปผูกโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ปี 51 หรือเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ที่ศาลมีคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ทำให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ (นอกทำเนียบฯ) ในขณะนั้น ขาดคุณสมบัติ พ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี ยุติม็อบรุงรังยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ลุกลามไปถึงขั้นบุกยึดสนามบิน
ตัดกลับมาปัจจุบัน มีสถานการณ์การชุมนุมเหมือนกัน แม้ยังไม่รุนแรงหนักข้อเหมือนเมื่อ 12 ปีก่อน แต่ก็ยังมองไม่เห็นบทจบ ทำให้คำวินิจฉัยของศาลในวันที่ 2 ธ.ค. ปี 63 หลายคนหวังว่าจะช่วยคลี่คลายวิกฤติไปได้เสียที เมื่อนายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง แม้จะต้องสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญเดิม แต่การเมืองก็จะขยับเปิดทางให้เกิดการพูดคุยเจรจากันมากขึ้น ไม่เดดล็อกเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
นั่นคือความหวังของหลายๆ คนที่มองโลกในแง่ดี แต่ในฐานะที่ผมมองโลกในแง่ไม่ค่อยดีนัก ก็อยากจะเตือนให้ระลึกไว้ด้วยว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 12 ปีก่อน ทำให้ม็อบเลิกชุมนุมได้ก็จริง และมีรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตามมา แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับวิกฤติยิ่งกว่า เพราะเกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ที่สำคัญความขัดแย้งไม่ได้จบลง แต่ยังร้าวลึกหนักขึ้น
ฉะนั้นวันที่ 2 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ จึงอาจไม่ใช่วันชี้ชะตาใดๆ เพราะจริงๆ แล้วชะตาของบ้านเมืองอยู่ที่ทุกคน ทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรความขัดแย้ง ถ้ายังมัวแต่ยื้อแย่งอำนาจ สร้างความเกลียดชัง ชิงความได้เปรียบกันทางการเมืองทุกเม็ดทุกดอกแบบนี้ ต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอย่างไรก็ไม่มีวันได้เห็นความสงบ!