สำนักข่าวเอพีได้เปิดเผยบทวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นใน 376 เขตทั่วสหรัฐฯ ซึ่งนับคะแนนไปแล้วมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ต่อจำนวนประชากรมากที่สุด พบว่า 93 เปอร์เซ็นต์สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเขตส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทในรัฐที่ปกติเป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันอยู่แล้ว อาทิ มอนทานา, ไอโอวา, เนบราสกา, นอร์ธดาโกตา, เซาธ์ดาโกตา, แคนซัส, และวิสคอนซิน
ประชาชนในพื้นที่เหล่านี้มักไม่จริงจังกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคม และกลายมาเป็น "ฮอตสปอต" ของการระบาดในช่วงหลังมานี้ จนส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทุบสถิติทะลุหลัก 1 แสนคนต่อวันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
สาเหตุที่ทำให้ผู้สนับสนุนของทรัมป์ไม่ค่อยเชื่อฟังคำแนะนำในการป้องกันโรคก็คงมาจากท่าทีของตัวทรัมป์เองที่ "ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก" ตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาดซึ่งยังพอมีโอกาสควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ทรัมป์กลับทำ "ทีเล่นทีจริง" กับการสวมหน้ากากอนามัย ต่อต้านการล็อกดาวน์ และ "สัญญาลมปาก" ว่าวัคซีนจะพร้อมก่อนเลือกตั้ง นอกจากนี้แม้ตัวเองจะติดเชื้อ แต่ทรัมป์ก็ยังอ้างว่าการที่เขาหายป่วย แสดงว่าเชื้อไวรัสร้าย "ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด"
ส่วนในการเลือกตั้งรอบนี้ ผลสำรวจ "เอ็กซิตโพลล์" พบว่า ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันให้ความสำคัญกับเรื่องโควิด-19 ต่างกัน โดยฝั่งรีพับลิกันส่วนใหญ่มองว่า เรื่องปากท้องสำคัญกว่าการควบคุมโรค ขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์กว่า 80 เปอร์เซ็นต์มองว่า รัฐบาลสามารถควบคุมการระบาดได้แล้ว สวนทางกับผู้สนับสนุนไบเดนที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์มองว่า รัฐบาลทรัมป์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลย
บุคลากรทางการแพทย์ในสหรัฐฯ หวังว่า หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป มาตรการป้องกันโควิด-19 จะไม่ตกเป็น "ประเด็นทางการเมือง" ระหว่าง 2 พรรคอีก แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนจะไม่เป็นดังหวัง เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า สังคมอเมริกากำลังแตกแยกยิ่งกว่าเดิม