"ดีเอสไอ"สอบ"สวนแสงพรหมรีสอร์ท"รุกป่าสงวน
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
พิษณุโลก - เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ นำโดรนบินตรวจสอบพิกัดขอบเขตที่ดิน "สวนแสงพรหมรีสอร์ท" บุกรุกที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติสองฝั่งลำน้ำแควน้อย อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก จำนวนกว่า 100 ไร่ ขณะที่เจ้าของร้องคัดค้านว่าพื้นที่รีสอร์ทตั้งอยู่ในที่ดิน น.ส.3 ข. เป็นเอกสารสิทธิที่กรมที่ดินออกให้มีเนื้อที่เพียง 50 ไร่เศษ พร้อมนำเจ้าหน้าที่เดินชี้จุดแนวเขตที่ดิน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าของที่ดิน
นายภาสกร เจนประวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)พร้อมด้วย พ.ต.อ.วัฒนากร อู่นาท ผกก.สภ.วัดโบสถ์ นางพิชญา พูลสมบัติ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก สาขาวัดโบสถ์ นายอิทธิพล ประเทือง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พล.9 (ปากพาน-น้ำโจน) สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก กรมป่าไม้ พร้อมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินทางตรวจสอบที่ดิน สวนแสงพรหมรีสอร์ท เลขที่ 168 หมู่ 1 ต.คันโช้ง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก
หลังจากมีเจ้าหน้าที่รัฐได้เข้าตรวจสอบและจับกุมผู้จัดการ ฐานครอบครองที่ดิน ที่ออกโดยมิชอบจำนวน 102 ไร่ เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2562 โดยทาง น.ส.จรรยา อภิชัยศิริภัทร ได้คัดค้านไปหลายหน่วยงาน ซึ่งเมื่อปลายปี 2562 ทาง ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องมา ดีเอสไอ ด้วยเห็นว่าพื้นที่ป่าถูกบุกรุกเกินกว่า 100 ไร่ จึงรับเป็นคดีพิเศษ และอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ
นายภาสกร เจนประวิทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่าคดีนี้เรื่องจากเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม่วัดโบสถ์ หน่วยเฉพาะกิจพยัคฆ์ไพร เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้เข้าจับกุมตัว ผู้จัดการสวนแสงพรหมรีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ในที่ดินเอกสารสิทธิ์ ประเภท น.ส.3 ข.
โดยเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 3 หน่วยงาน อ้างว่า น.ส.3 ข. ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าไม้ถาวร พร้อมมียึดพื้นที่ ห้ามดำเนินการใดๆในพื้นที่ ซึ่งทางแสงพรหม รีสอร์ท จึงร้องขอความเป็นธรรมดีเอสไอ หลังรับเรื่องจาก ป.ป.ช. เห็นว่ามีมูลจึงได้รับเป็นคดีพิเศษ เพราะมีการบุกรุกป่าสงวนเกิน 100 ไร่ขึ้นไป จึงมาดำเนินการตรวจสอบเพื่อความชัดเจน ความกระจ่างในทางคดี ซึ่งอาจโยงเรื่องนำไปสู่เจ้าหน้าที่รัฐออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบหลายราย
สำหรับในวันนี้ ทางดีเอสไอได้นำทีมศูนย์แผนที่ บินโดรนสำรวจพิกัดเพิ่มอย่างละเอียด ซึ่งการใช้โดรนตรวจสอบมีความแม่นยำ 100% ทั้งนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับเจ้าของรีสอร์ท ซึ่งเป็นผู้ร้องเรียนว่าบุกรุกป่าสงวนฯ ว่าที่ดินทั้งหมดมีเท่าไหร่แน่ ดำเนินการสอบสวนเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่ความไม่ชอบมาพากลของเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วย เบื้องต้นเชื่อว่าเอกสารสิทธิออกมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยขณะนี้ยังตีกรอบการบุกรุกป่าอยู่ที่ 102 ไร่ก่อน ขณะที่ภาคพื้นดิน มีการเดินสำรวจชี้รังวัดแนวเขตซ้ำใหม่ทั้งหมดด้วยเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน นอกจากนี้การตรวจสอบแผนที่ทางอากาศพบว่า เมื่อ 2545 ที่ดินบริเวณนี้เริ่มมีการทำถนนตัดผ่าน และมีการก่อสร้างอาคารที่พัก ในปี 2560 พบมีอาคารหลายหลังสร้างขึ้นกระจายเต็มพื้นที่ ก่อนมีการตรวจพบโดยเจ้าหน้าที่และนำมาสู่การตรวจยึดที่ดินในปี 2562
ขณะที่ นางพิชญา พูลสมบัติ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพิษณุโลก สาขาวัดโบสถ์ กล่าวว่า เป็นเอกสาร นส.3 เดิม เป็นการสอบเนื้อที่ เหมือนถ้าเป็นโฉนด ก็เป็นการตรวจสอบแนวเขต ซึ่งจากตรวจสอบของที่ดินแปลงนี้ พบว่าอยู่คนละจุด พอมาตรวจสอบเนื้อที่ก็ย้ายตำแหน่งมาอยู่ตรงบริเวณนี้ ถ้าเทียบกับ สค.1 ก็เป็น สค1 บินได้ ตำแหน่ง นส.3 ที่ออกมาจริงๆแล้วไม่ได้อยู่ตรงนี้ ปัญหาตรงนี้คือเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นพื้นที่เขตป่าเต็มๆ ถ้าตามระวางแผนที่พบที่ดินควรอยู่เหนือขึ้นไป และอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ เท่ากับว่าที่ดินของรีสอร์ททั้งหมดเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ
นายอิทธิพล ประเทือง หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พล.9 (ปากพาน-น้ำโจน) สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 สาขาพิษณุโลก กรมป่าไม้ กล่าวว่า การมาจับกุมรีสอร์ทแห่งนี้เนื่องจากมีการร้องเรียนไปยัง สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 ว่ามีการบุกรุกป่าสงวน ฯ ทาง ผอ.สำนัก 4 จึงสั่งการให้มาตรวจสอบ การมาตรวจสอบพบว่าที่ดินอยู่ในเขตป่า แต่ทางเจ้าของที่ดินระบุครอบครองที่ดินมีเอกสารสิทธิ ขณะที่ตรวจยึดจับกุม เขานำชี้ไป 3 จุดเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ระบุไป 13 จุด จึงได้ร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครองเห็นว่าเป็นคดีใหญ่จึงส่งเรื่องไปยังดีเอสไอ จึงนำมาซึ่งการตรวจสอบในครั้งนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำเต็มที่แล้ว ก็ว่าไปตามข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม สำหรับการตรวจสอบในคดีนี้ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน หลังจากดีเอสไอ ตรวจสอบแนวเขตที่ดินชัดเจน จะนำสู่กระบวนการศาลยุติธรรม ให้ศาลตัดสินชี้ขาด เชื่อว่าภายในปีนี้จะได้ที่ผืนป่าไม้กลับคืนมา