พท.มองรัฐบาลใกล้ถึงจุดจบจาก3ปัจจัยวิกฤตหลัก

25 ตุลาคม 2563 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและวิชาการ และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่าจากวันที่ 22 พ.ค. 2557 ปัญหาการเมืองทั้งหมดถูกปฏิเสธที่จะแก้ไขผ่านกระบวนการปกติ แต่ถูกกดทับด้วยพรมผืนใหญ่ เสมือนว่าความขัดแย้งนั้นหายไป แต่พรมนั้นไม่สามารถปิดปัญหาได้อีก ปัญหาจึงเด่นชัด เป็น 6 ปีที่สูญเปล่า รัฐบาลเลือกที่จะกลบวิกฤตการเมืองหนึ่ง ด้วยการสร้างวิกฤติการเมืองที่ใหญ่กว่า ขึ้นมาจากรัฐธรรมนูญบิดเบี้ยว ที่พันธนาการสังคมไทย ผนวกกับทัศนคติว่ารัฐบาลคือความถูกต้อง เป็นแรงกดดันที่ได้ปะทุออกมา เป็นหนึ่งในวิกฤตการเมืองต้องจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ทั้งนี้ ประการต่อมา คือ วิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงสร้างของไทยอ่อนแอและเปราะบางอยู่ก่อนแล้ว ทั้งด้านผลิตภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในฝั่งอุปทาน และตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นหัวใจของการฟื้นตัวฝั่งอุปสงค์ เหล่านี้ถูกตอกย้ำครั้งแรกด้วยโรคระบาด และครั้งที่สองด้วยมาตรการประสิทธิภาพต่ำ ในภาวะที่เอกชนรายย่อยต้องการสินเชื่ออย่างยิ่งยวด แต่มาตรการการเงินกลับลงไปไม่ถึงผู้เดือดร้อนจริง สินเชื่อธุรกิจรายเล็กหดตัว 2.6% YTD ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่ขยายตัว 10.4% YTD สะท้อนการกระจุกตัวและความล้มเหลวของมาตรการการเงิน

ส่วนมาตรการการคลัง เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ถูกใช้จริงเพียง 5 แสนล้านบาท ทำให้มาตรการภาครัฐ เข้ามาช้อนไม่ทันรายได้ที่หดหาย จะนำไปสู่ภาวะเหวทางการคลัง ซึ่งอันตราย ในขณะที่ภาวะการปิดกิจการ ยังไม่ถึงจุดต่ำสุด และภาวะการตกงานที่เห็นอยู่ ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะการตกงานมีจุดต่ำสุดหลังเศรษฐกิจในภาพรวม 6 เดือน-1 ปี เมื่อตลาดแรงงานไม่ฟื้น กำลังซื้อภายในประเทศไม่ถูกขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์จริง แต่เป็นอุปสงค์เทียมที่สร้างขึ้นจากมาตรการภาครัฐ ซึ่งกำลังอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายเผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า ประการสุดท้าย คือ วิกฤตความเชื่อมั่น เมื่อประชาชนในประเทศไม่เห็นว่ารัฐบาลปัจจุบัน มีศักยภาพเพียงพอที่จะคลี่คลายปัญหาข้างต้นได้ เมื่อปัญหาลงลึก สวนทางกับศักยภาพที่มีอย่างจำกัด ความเชื่อมั่นจึงหมดลง กลายเป็นการไม่ยอมรับรัฐบาลเมื่อทั้ง 3 วิกฤต ได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่น มาเจอพร้อมกันที่จุดตัด ประวัติศาสตร์บอกว่า มันใกล้จะถึงจุดจบของรัฐบาล