ในการบอกกับผู้ฟังหลายพันคน ซึ่งก็รวมถึงทหารผ่านศึกสงครามเกาหลี ระหว่างการประชุมเพื่อฉลองการครบรอบวันที่กองทัพจีน ยกทัพเข้าสู่เกาหลีเหนือเพื่อต่อต้านกองทัพสหรัฐ สี จิ้นผิง ผู้นำจีนบอกว่าชาวจีนจะ "รับมือยาก" หากพวกเขาถูกยั่วยุให้โกรธ .
ประธานาธิบดีจีนยังเตือนด้วยว่าจีนจะไม่ยอมให้อธิปไตย ผลประโยชน์ หรือดินแดนของตน " ได้รับความเดือดร้อน " , "การหักหลัง การปิดล้อม และการกดดันจีนอย่างหนัก จะไม่ได้ผลอะไรทั้งนั้น"
งานนี้ ผูู้นำจีนไม่ได้เอ่ยถึงสหรัฐตรง ๆ แต่คำพูดของเขามีขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา ,ปัญหาด้านเทคโนโลยี , การค้าขาย , ความมั่นคง , ฮ่องกง ,ไต้หวันและซินเจียง
ในขณะเดียวกัน ปักกิ่งก็ยังคงเป็นพันธมิตรทางการทูตและคู่ค้าที่สำคัญที่สุดของเกาหลีเหนือ และได้สกัดความพยายามของสหรัฐในการกดดันทางเศรษฐกิจต่อเปียงยาง เพื่อกระตุ้นให้เกาหลีเหนือยุติโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
ทรัมป์สร้างปัญหาให้กับผู้นำจีนด้วยการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากจีนในปี 2561 โดยร้องเรียนว่าปักกิ่งขโมยหรือกดดันให้บริษัทต่าง ๆ ส่งมอบเทคโนโลยีของพวกเขาให้จีน ทำเนียบขาวได้ชักชวนให้พันธมิตรให้ตัดหัวเว่ย ซึ่งเป็นแบรนด์เทคโนโลยีระดับโลกรายแรกของจีน ออกจากเครือข่ายโทรคมนาคมยุคใหม่ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย การเข้าถึงส่วนประกอบและเทคโนโลยีจากสหรัฐของหัวเว่ยถูกตัดขาดมีการขู่ว่าจะทำลายยอดขายทั่วโลกของบริษัท ทรัมป์พยายามกีดกันบริษัทโซเชียลมีเดียของจีนในสหรัฐ โดยอ้างความกลัวว่าพวกมันอาจรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของชาวอเมริกันมากเกินไป
ความไม่สบายใจเกี่ยวกับความทะเยอทะยานทางทหารและทางยุทธศาสตร์ของปักกิ่ง ก็กำลังแพร่หลายในหมู่พันธมิตรของสหรัฐ และในสหรัฐเอง
จีนได้เพิ่มกิจกรรมทางทหารรอบ ๆ ไต้หวันในสิ่งที่เรียกว่าความพยายามโดยเจตนาที่จะบีบในทางการเมืองต่อรัฐบาลที่สนับสนุนเรื่องเอกราชของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน
การรุกล้ำน่านฟ้าไต้หวันและการซ้อมรบของจีนที่พุ่งเป้ามาที่ทรัพย์สินของสหรัฐและไต้หวันที่เพิ่มขึ้น ได้เข้ามาเสริมการกดดันทางเศรษฐกิจและการทูตที่มีมายาวนานหลายปีต่อเกาะไต้หวัน ทำให้ไต้หวันเหลือพันธมิตรทางการทูตแค่ 15 ประเทศเท่านั้น