ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ประธานที่ประชุมประธานสภาคณาจารย์และข้าราชการแห่งประเทศไทย หรือ ทปสท.ให้มุมมองที่น่าสนใจกับ "เนชั่น ทีวี" ว่า จากการที่มีกลุ่มคณาจารย์ 1118 รายชื่อได้ยื่นข้อเรียกร้อง และมีแนวคิดที่ระบุว่า หากไม่ได้ตามข้อเรียกร้องจะนัดกันหยุดสอน ตนเห็นว่า การจะใช้วิธีการในลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มแรงงานกระทำกับนายจ้างด้วยวิธีการหยุดสอน มันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากกลุ่มแรงงานและนายจ้างจะมีพันธะกันทั้งสองฝ่าย ฉะนั้น การหยุดงานเพื่อประท้วงนายจ้าง เพื่้อให้นายจ้างได้รับผลกระทบ เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
แต่ในส่วนของสถาบันการศึกษา จะมีพันธะร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ กลุ่มผู้บริหารสถาบันการศึกษา กลุ่มคณาจารย์ และกลุ่มนักศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ซึ่งจะเสียโอกาสที่จะได้รับการเรียนการสอน และยังต้องจ่ายค่าเทอม รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากมีการนัดหมายให้กลุ่มคณาจารย์หยุดสอน จึงเป็นคนละกรณีกับกลุ่มแรงงาน ตนจึงคิดว่าไม่ควรเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เพราะไม่ได้กระทบแค่กลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัย และรัฐบาลเท่านั้น แต่คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ ตัวนักศึกษาโดยตรง ซึ่งไม่ต่างจากการละเมิดสิทธิ์ที่พวกเขาควรจะได้รับการเรียนการสอน
ดร.เชษฐา บอกอีกว่า แม้ตนจะสนับสนุนการออกมาเรียกร้องตามสิทธิทางการเมือง แต่ก็ต้องขอให้อยู่ภายใต้กรอบกฏหมาย และไม่ก้าวล้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงกลุ่มคณาจารย์ที่เป็นกลุ่มบุคคลสาธารณะ ซึ่งมีหน้าที่ในการรับผิดชอบต่อนักศึกษาโดยตรง จึงไม่ควรที่จะใช้วิธีการนัดหยุดสอนแบบนี้ เพราะจะกระทบต่อนักศึกษาเป็นวงกว้าง
ดร.เชษฐา บอกอีกว่า แม้ตนจะสนับสนุนการออกมาเรียกร้องตามสิทธิทางการเมือง แต่ก็ต้องขอให้อยู่ภายใต้กรอบกฏหมาย และไม่ก้าวล้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงกลุ่มคณาจารย์ที่เป็นกลุ่มบุคคลสาธารณะ ซึ่งมีหน้าที่ในการรับผิดชอบต่อนักศึกษาโดยตรง จึงไม่ควรที่จะใช้วิธีการนัดหยุดสอนแบบนี้ เพราะจะกระทบต่อนักศึกษาเป็นวงกว้าง