(18 ต.ค.63) จากกรณีที่นายวิชิตร์ มนปราณีต อายุ 43 ปี ชาวอำเภอแคนดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีอาชีพรับจ้างกรีดยาง ตัดอ้อยมีรายได้วันละ 300 400 บาท ทั้งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนจากรัฐช่วยค่าครองชีพ ได้ออกมาร้องขอความช่วยเหลือ หลังจู่ๆ มีหมายจากศาลล้มละลายกลางมาส่งถึงบ้าน โดยในหมายศาลดังกล่าวระบุว่า กรมสรรพากรเป็นโจทย์ฟ้อง นายวิชิตร์ มนปราณีต ในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท "ภูเก็ต มอนติ คาโล จำกัด" ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขาย เช่าซื้อ ขายฝากที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่น มีทุนจดทะเบียนถึง 200 ล้านบาท โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยไว้เด็ดขาด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2562 เนื่องจากบริษัทมีหนี้ค้างชำระตั้งแต่ปี 2561 2563 รวมกว่า 97 ล้านบาท นายวิชิตร์ ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลย จึงมีหน้าที่ไปให้การเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของจำเลย ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 30 จึงมีหมายให้ท่านไปให้การสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน ณ กองบังคับคดีล้มละลาย 3 กรมบังคับคดี กรุงเทพมหานคร ภายใน 7 วัน นับแต่วันรับหมายนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามหมายนี้อาจมีโทษทางอาญา
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของนายวิชิตร์ ที่ อ.แคนดง พบว่านายวิชิตร์ อาศัยอยู่กับภรรยา และลูกชายในบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ ฐานะค่อนข้างยากจนเนื่องจากมีอาชีพรับจ้างกรีดยาง ส่วนภรรยาก็ทำเพิงเล็กๆ ขายของหน้าบ้าน โดยวันนี้ได้มีผู้นำหมู่บ้าน และชาวบ้านที่ทราบข่าว มาสอบถามและให้กำลังใจนายวิชิตร์ ที่บ้านด้วย ซึ่งต่างก็แปลกใจและไม่เชื่อว่านายวิชิตร์ จะเป็นผู้ถือหุ้นส่วนบริษัทและมีหนี้สิน 97 ล้านตามที่ถูกฟ้องจริง เพราะเห็นนายวิชิตร์ ทำอาชีพรับจ้างกรีดยาง ตัดอ้อยมาตลอด อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบเอกสารที่ทางสรรพกรให้มา ก็พบพิรุธเนื่องจากเลข 13 หลักในเอกสาร ไม่ตรงกับเลข 13 หลักในบัตรประชาชนตัวของนายวิชิตร์ ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าหากนายวิชิตร์ เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทตามที่ถูกฟ้องร้องกล่าวหา ทำไมถึงได้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนช่วยเหลือจากรัฐ และหากถูกฟ้องเป็นผู้ล้มละลาย ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.2562 ทำไมรัฐยังสามารถโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยโควิดเดือนละ 5,000 บาทได้ ซึ่งขัดแย้งกันเพราะหากเป็นผู้ล้มละลายจะต้องไม่สามารถดำเนินการธุรกรรมทางการเงินได้ 3 ปี จึงเชื่อว่าน่าจะมีการออกหมายผิดพลาดหรือผิดตัวมากกว่า
ขณะที่นายคำภา ทองดียิ่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ระบุว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้เกิดความกระจ่างด้วย แต่ในฐานะตนเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านรับรองได้ว่านายวิชิตร์ ซึ่งเป็นลูกบ้านย้ายมาอยู่กับภรรยาในหมู่บ้านเกือบ 20 ปีแล้ว ไม่ได้เป็นผู้หุ้นบริษัทและมีหนี้สินตามที่ถูกฟ้องอย่างแน่นอน เพราะหากรวยจริงคงไปอยู่บ้านหรือตึกใหญ่โตแล้ว ไม่มาอาศัยอยู่บ้านหลังเล็กๆและรับจ้างกินแบบนี้ ที่สำคัญหากเป็นผู้ถือหุ้นมีการค้างชำระหนี้ หรือค้างภาษีจริง จะต้องมีหนังสือออกมาติดตามทวงถามบ้าง แต่ทำไมจู่ๆ มีหมายศาลมาถึงบ้านเลยก็รู้สึกแปลกใจ จึงอยากให้ทางศาลล้มละลายกลาง สรรพากร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวด้วย เพราะอาจทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นแพะและได้รับความเดือดร้อน ขณะที่นายวิชิตร์ ก็วิงวอนให้ผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วย เพราะตอนนี้ครอบครัวเดือดร้อนมากต้องหยิบยืมเงินญาติพี่น้องเป็นค่ารถไปติดต่อสอบถามหน่วยงานต่างๆในตัวจังหวัด แต่กลับบอกให้ไปติดต่อศาลละล้มละลายกลางที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็ไม่รู้จะไปยังไงและจะเอาค่ารถที่ไหน และหากเกิดจากความผิดพลาดของทางหน่วยงานรัฐเอก จนทำให้ตนและครอบครัวเดือดร้อนใครจะรับผิดชอบ