16 ตุลาคม 2563 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า กมธ.ได้มีการพิจารณากรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำสัญญาซื้อขายถุงมือยาง กับบริษัทเอกชน มูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยครั้งนี้กมธ.ได้เชิญอดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. และบริษัทคู่สัญญาที่จะซื้อจะขายถุงมือยางกับ อคส. มาให้ข้อมูลทั้งนี้ ทาง อดีตรักษาการฯ ผอ. อคส. ชี้แจงว่า สัญญาซื้อขายถุงมือยาง ที่ได้ดำเนินการไปนั้นได้ศึกษาแนวทางการทำสัญญาซื้อขายข้าวของ อคส. ประกอบกับข้อบังคับการจัดซื้อจัดจ้าง ของ อคส. ไม่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงยึดตามพระราชกฤษฏีกาจัดต้ังองค์การคลังสินค้า พ.ศ. 2498 มาตรา 26 ที่ให้อำนาจเต็มกับผู้อำนวยการ อคส.ดำเนินการได้นายอัครเดช กล่าวต่อว่า การเซนต์สัญญา การอนุมัติวงเงิน และการวางเงินมัดจำ ได้ดำเนินการเองในฐานะประธานคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้รับคำแนะนำจากประธานบอร์ดและเจ้าหน้าท่ีผู้ประสานบริษัทผู้ผลิตถุงมือยาง และยอมรับว่า ไม่ได้ดูรายละเอียดในสัญญาแต่ทำตามหน้าที่ หากจะบกพร่องก็ต้องยอมรับส่วนบริษัทคู่สัญญาซื้อขายถุงมือยาง กับอคส.เช่น บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ได้จดทะเบียน จัดต้ัง บริษัท มาเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และภายหลังได้เพิ่มทุน จดทะเบียนเป็น 2,500 ล้านบาท เป็นบริษัทจัดซื้อและจัดหา ไม่มีโรงงานผลิต ได้ส่งตัวแทน มาชี้แจงต่อกมธ.ซึ่งไม่มีอำนาจการตัดสินใจ กมธ.จึงไม่สามารถให้ชี้แจงได้ และอีก 5 บริษัท ที่ทำสัญญาซื้อถุงมือยางกับอคส.ได้ชี้แจงว่า กรณีที่เกิดข้ึน ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียงบริษัทที่ขาดความน่าเชื่อถือ และต้องจ่ายโอนเงินคืนให้กับบริษัทคู่ค้า ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นจำนวนมากอย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาไม่สามารถทำได้อคส.ควรจะออกหนังสือชี้แจงเหตุผลในการระงับสัญญาในการซื้อขายให้กับบริษัทที่ได้ผลกระทบด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บริษัทท่ีจะซื้อถุงมือยางจาก อคส. ไม่ทราบเหตุผลการระงับการจัดซื้อไว้ก่อน แต่หาก อคส. จะดำเนินการต่อได้ก็พร้อมจะสานต่อเช่นกัน เพราะเป็นช่วงที่ตลาดยังมีความต้องการสูงแต่การผลิตไม่เพียงพอ
นายอัครเดช กล่าวต่อว่า กมธ.ได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ คือ การทำนิติกรรมดังกล่าวน่าจะเป็นความผิดทางอาญาเพราะ อคส.นำเงินหลวงไปจ่ายมัดจำกับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดปกติ ทำให้เกิดความเสียหายกับรัฐ และบริษัทท่ีเป็นคู่สัญญาซื้อขายก็ได้รับผลกระทบไปด้วย และบริษัทที่ทำสัญญาขายถุงมือยาง กับ อคส. ไม่มีโรงงานผลิตเอง แต่เป็นเรื่องของนายหน้าจัดหาให้กับ อคส. ซึ่งจำนวนถุงมือยางที่ซื้อขายกันมีจำนวน 500 ล้านกล่องนายอัครเดช กล่าวว่า ในขณะที่ความเป็นจริงถุงมือยางไม่มีอยู่จริงตามจำนวนที่ระบุในสัญญา หรือมีแต่ไม่เพียงพอ อีกทั้งการผลิตถุงมือยางควรให้เอกชนเป็นผู้ผลิต รัฐเป็นผู้ส่งเสริมหรือเป็นหน่วยงานกลาง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและควบคุมราคา แต่กรณีนี้หากให้ดำเนินการต่อจะยิ่งเกิดความ เสียหายเพิ่มมากขึ้น เพราะสินค้าไม่มีและอาจมีการนำสินค้าจากจีนมาสวมแทน
สำหรับกรณีนี้ ทางกมธ.จะได้ร่วมกับคณะอนุกมธ.ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงานของศาล องค์กรอัยการ และรัฐวิสาหกิจ ติดตามเรื่องนี้ต่อไป โดยการประชุมครั้งหน้าจะเชิญ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ป.ป.ช. ปปง. สตง. สำนักงานอัยการสูงสุด และผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เข้าร่วมประชุม