ควีนสั่งให้เหลาไม้เรียวไว้รอแล้ว

การพบกันครั้งแรกระหว่าง "ย่ากับหลาน" ครั้งนี้ จะมีขึ้นที่ตำหนักวินด์เซอร์ แต่บรรยากาศไม่น่าจะชื่้นมื่น เพราะดูเหมือนควีนที่พระชนมายุ 94 พรรษาแล้ว ได้เตรียมจะอบรมหลานรักให้ตระหนักถึงความเป็นสมาชิกราชวงศ์ว่า "อะไรควรและอะไรที่ไม่ควร" และในเมื่อเป็นเรื่องระหว่าง ย่ากับหลาน ก็เลยไม่มีชื่อของคนนอกอย่าง "เมแกน"ปรากฎอยู่ลิสต์ของผู้ที่จะใช้ตำหนักฟร็อกมอร์
เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ "การเข้าไปก้าวก่ายการเมืองอเมริกัน" โดยเฉพาะการแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยของทั้งเจ้าชายแฮร์รีและชายา ด้วยการออกคลิปเชิญชวนให้ชาวอเมริกันไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน เพราะอาจจะคิดว่า มีอิทธิพลมากพอที่จะจูงใจคน แต่ผิดคาด เพราะโดนทั้งสื่อกระแสหลักและโลกออนไลน์ สอนมวยให้ว่า แม้เจ้าชายแฮร์รีจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกชั้นสูง ตั้งแต่เดือนมีนาคม แต่ความเป็นเชื้อพระวงศ์ยังคงอยู่ และมีหน้าที่ต้องดำรงความเป็นกลางทางการเมือง

ท่อนสำคัญที่นำไปสู่ทัวร์ลงและส่งแรงกระเพื่อมไปถึงบั๊คกิงแฮม ก็คือการที่เจ้าชายแฮร์รีบอกว่า ตัวเองไม่มีสิทธิ์ออกเสียง เพราะเป็นการเลือกตั้งในอเมริกา แต่ถึงอยู่อังกฤษ ก็ไม่เคยไปใช้สิทธิ์เลยแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต
ฟังดูเผินๆ ก็เหมือนการเชิญชวนไปเลือกตั้งทั่วไปที่ยังไงก็ไม่สมควร และยังแฝงการสื่อสารเป็นนัยที่ตีความได้ว่าทั้งคู่สนับสนุนโจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต เพราะสมัยที่เมแกนยังเป็นดารา ก็เคยวิพากษ์วิจารณ์โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันอย่างเปิดเผยว่า เป็นคนเหยียดเพศ ชังหญิง และมีความคิดแบ่งแยก
เรื่องนี้ ลามไปถึงขั้นที่ เจสัน สมิธ สมาชิกสภาคองเกรสส์อเมริกัน สังกัดพรรครีพับลีกันถึงขนาดทำหนังสืออย่างเป็นทางการส่งถึงแคเรน เพียซ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำวอชิงตัน ดีซี เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษ ให้ "หลักประกัน" ว่า ทั้งสองไม่ก้าวก่ายการเมืองอเมริกัน หรือไม่ก็ "ถอด" ฐานันดรออกเสียเลย แถมยังย้ำด้วยว่า การกระทำของทั้งคู่เป็นการละเมิดนโยบายวางตัวเป็นกลางทางการเมืองของราชวงศ์อย่างร้ายแรงและอาจส่งผลต่อวีซาของเจ้าชายแฮร์รีด้วย

อันที่จริงการจะ "ตั้ง" หรือ "ถอด" ฐานันดรของสมาชิกในพระราชวงศ์นั้น เป็นอำนาจของควีนแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่รัฐบาลแนะนำและยินยอมจากรัฐบาลอังกฤษเท่านั้นฐานันดรไม่ว่าจะสูงส่งแค่ไหน ก็สามารถ "ปลิว" ไปได้เสมอ 
การกลับแผ่นดินเกิดของเจ้าชายแฮร์รี ก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรการเท่าเทียมประชาชนทั่วไป นั่นคือต้องกักตัว 14 วัน แต่ไม่ว่าจะเป็นตำหนักฟร็อกมอร์ หรือวินเซอร์ก็กว้างขวางพอที่จะพูดคุยในระยะห่างได้ และนอกจากจะโดนย่าดุแล้ว ยังต้องมาจ่ายค่าปรับปรุงตำหนักที่ใช้เงินภาษีประชาชนไป 2.4 ล้านปอนด์ ที่เป็นการ "ผ่อนจ่าย" ส่วนการซื้อบ้านหลังใหม่ราคา 14 ล้านดอลลาร์ในซานตา บาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนียนั้นผู้เชี่ยวชาญชี้่ว่า เป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการไปลงหลักปักฐานและ "เผาสะพาน" เชื่อมพระองค์กับราชวงศ์วินเซอร์ทิ้ง .... จนไม่อาจกลับมาซ่อมแซมได้อีกแล้ว!!!