(19 กันยายน 2563) น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เปิดเผยว่า การร่วมชุมนุมวันนี้ (19ก.ย.) มาในฐานะประชาชน มาเติมเต็มพลังมวลชน และยืนยันว่าวันนี้มามอบกำลังใจให้กับผู้ร่วมชุมนุม เนื่องจากตอนนี้เป็นการต่อสู้ของประชาชน โดยตนได้มาติดตามบรรยากาศ การเตรียมความพร้อมการชุมนุมตั้งแต่เมื่อคืน (18ก.ย.) ที่ผ่านมา และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะยอมเปิดพื้นที่ให้ชุมนุม โดยอ้างอิงถึงเมื่อเหตุการณ์ตุลาคมในอดีต ก็มีการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนชุมนุมเช่นเดียวกัน ทำให้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่มีภาพการตัดโซ่หรือพังประตูซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดี และคาดหวังว่าประชาชนจะเป็นพลังที่ไม่มีใครขวางกั้นได้และรัฐบาลจะฟังประชาชนอย่างคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือไม่
ทั้งนี้ ไม่คิดว่าจะมีความรุนแรงใดและบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเฉพาะมีร้านค้าขายอาหาร ของแจก มากมายซึ่งบรรยากาศมีแต่ความคึกคัก และรู้สึกดีเป็นพิเศษเนื่องจากว่ามีคนร่วมชุมนุมทุกกลุ่มทุกวัย ซึ่งเมื่อตอนการชุมนุม 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ร้อยละ 80 เป็นวัยรุ่น แต่ครั้งนี้มีครอบครัวพาลูกมา มีอดีตข้าราชการเกษียณ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีเด็กมัธยมและนักศึกษามาร่วม พร้อมย้ำว่าเป็นความสวยงามในการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐพยายามสกัดกั้นการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นทางเรือที่มีผู้ชุมนุมมาจากท่าน้ำนนท์ หรือประชาชนที่เดินทางมาจากภาคเหนือ แต่สุดท้ายก็เดินทางมาได้ ซึ่งขอย้ำว่ารัฐบาลจะต้องยอมรับว่านาทีนี้ประชาชนจะไม่ยอมอีกต่อไป ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้แล้วโดยไม่มีอะไรขวางกั้น หากรัฐบาลพยายามขวาง มีแต่ยิ่งพังจะสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ พร้อมขอให้รับฟังเสียงประชาชน
น.ส.พรรณิการณ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนตัวเชื่อการชุมนุมครั้งนี้จะส่งสัญญาณให้รัฐบาลและรัฐสภา ในการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 23-24 ก.ย.นี้ พร้อมย้ำว่าให้พิจารณาร่างของฝ่ายค้านที่มีการกำหนดร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั่วประเทศ
ส่วนการตั้งส.ส.ร.นั้น โมเดลของรัฐบาลที่กำหนดมาจากการเลือกตั้ง 150 คน และเป็นการเลือกกันเองอีก 50 คน จากนักวิชาการนักศึกษาตัวแทนรัฐสภา โดยมองว่าเป็นโมเดลหวยล็อก ซึ่งไม่ต่างจากการทำรัฐธรรมนูญปี 2560 และไม่อยากเห็นการแก้ปัญหาแบบพายเรือในอ่างกลับไปสู่วังวนเดิม และถ้ารัฐบาลจริงใจในการแก้ปัญหา ก็ควรรับร่างแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านที่มีการเลือกตั้ง สสร. 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนทั้งประเทศ แต่ถ้าหากไม่ยอมให้เลือกตั้งทั้งหมดก็จะเกิดคำถามว่ากลัวอะไรนอกจากนี้ ส่วนตัวตั้งข้อสังเกตถึงสสร. 50 คน ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล โดยมีการคัดเลือกจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงมองว่าหากเป็นเช่นนี้ กกต.จะทำอะไรก็ได้ และยังมีสัดส่วนของรัฐสภา ซึ่งคาดว่าในจำนวนนี้จะมีสัดส่วนของรัฐบาลราว 40 คน ที่ถูกเลือกมา และท้ายที่สุดสสร. ที่มีแต่คนของรัฐบาลจะต่างอะไรกับการยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560