svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"เบน ฟรีคิก" ร่ายยาว หลังประกาศขายเว็บไซต์soccersuck

18 กันยายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"เบน ฟรีคิก" ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ soccersuckโพสต์เฟซบุ๊กร่ายยาวในสิ่งที่หลายคนไม่เคยรู้อย่างละเอียดยิบ พร้อมเปิดใจความรู้สึก หลังประกาศขายเว็บไซต์เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา

หลังจากเว็บไซต์วาไรตี้ฟุตบอลชื่อดัง Soccersuck ประกาศขายเว็บ โดย "เบน ฟรีคิก" เจ้าของเผยเหตุผลส่วนตัว "อยากพักผ่อน" หลังใช้เวลารอคอยและพิจารณาข้อเสนอที่ดีที่สุดอยู่ประมาณ 5 เดือน วันนี้ผมยินดีที่จะกล่าวแถลงอย่างเป็นทางการว่าผมได้ขาย SocccerSuck ให้บริษัท บอลไทย 2020 จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ballthai.com)
ล่าสุด "เบน ฟรีคิก" ได้โพสต์เฟซบุ๊กร่ายยาวถึงความรู้สึกหลังประกาศขาบเว็บไซต์ soccersuck พร้อมเผยว่าครั้งหนึ่งเคยเหยียบหัว บอ.บู๋ คอลัมนิสต์ เพื่อทำให้ตัวเองดังไว โดยระบุข้อความว่า

"เบน ฟรีคิก" ร่ายยาว หลังประกาศขายเว็บไซต์soccersuck


เพราะรัก SS จึงต้องปล่อยเขาไป...
ผมเชื่อว่าหลังประกาศขายเว็บ SoccerSuck หลายคนคงรู้สึกเสียดายและแอบคาใจว่าทำไมผมถึงปล่อยเว็บที่ผมสร้างมาถึง 20 ปีไปอยู่ในมือคนอื่นง่ายดายขนาดนี้
ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ ตัวผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ เพราะ SS เป็นสิ่งมีค่าที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวผมเองจะเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้
อย่างไรก็ตามความรู้สึกภายในใจของผมหลังถูกสะสมจนได้ที่จู่ๆมันก็ "ไม่เหมือนเดิม"
นั่นคือความอยาก "เอาชนะ" มันจางหายไปตามทัศนะคติที่เปลี่ยนไปและเปลี่ยนไปมากๆด้วย
ผมไม่แน่ใจว่าความคิดนี้มันก่อตัวขึ้นมาตอนไหนหรือเวลาใดแต่คิดว่าน่าจะอยู่ในช่วงที่ผมเกิดจุดหักเหของชีวิตเมื่อ 7 ปีก่อน ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมต้องมาเริ่มต้นใหม่ ปรับตัวครั้งใหญ่
ผมใช้เวลาเกือบ 2 ปีถึงเข้มแข็งและสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองซึ่งในระหว่างนั้นเองผมเริ่มมีความกระหายกับเว็บน้อยลงเพียงแต่ผมไม่รู้ตัว
อิสระที่ผมมี (และไม่เคยมีมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต) ได้ยั่วยวนให้ผมได้ลองทำนั่นทำนี่หลังอยู่ในกฏระเบียบรับผิดชอบชีวิตคนรอบข้างมานานมาก
ผมขัดใจผู้บังเกิดเกล้าด้วยการประเดิมสักแขน (จนแม่บอกถ้าไปสักเพิ่มอีกอย่ามาเรียกกูว่าแม่ ฮา), เจาะหู (แม่เกือบเป็นลม), ถอย PS4 มาแก้เหงาหลังครั้งสุดท้ายที่เล่นก็คือ PS2, ซื้อโต๊ะสนุ๊กมาแทงคนเดียว, ซื้อตู้เกมหยอดเหรียญแบบสมัยก่อน, รีโนเวทห้องทำงานให้เป็นสวนสนุกเพื่อให้ชีวิตมันเดินต่อไปได้
ผมได้สัมผัสกับความโลดโผนครั้งใหญ่หลังเพื่อนสมัยเรียนม.ปลายชวนผมไปผจญภัยขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้น "ปาย" ทั้งๆที่ผมเพิ่งหัดขี่ได้แค่ไม่ถึง 2 อาทิตย์ สุดท้ายผมล้มคลุกฝุ่นช่วงทางโค้ง ฝ่าลมหนาวจนเป็นหวัดน้ำมูกไหลระหว่างทางเพราะใส่หมวกกันน็อคแค่ครึ่งใบ
ผมเริ่มขยับ level เที่ยวคนเดียวด้วยการแบ็คแพ็คนั่งรถไฟไปลพบุรี โบก 2 แถวไปเชียงคาน, เข้าป่าปีนเขา, กางเต้นท์, ดำน้ำลึกน้ำตื้น และอื่นๆ
ผมก้าวออกจาก safe zone ครั้งใหญ่ด้วยการออกนอกประเทศแต่ไม่ได้ไปไกลนะแค่กัมพูชา เวลาผมบ้าคลั่งเมื่อไหร่ใครก็หยุดผมยาก
ผมอ่านประวัติศาสตร์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรมาเยอะและไล่ดูหนังมาหลาย 10 รอบจนผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่ผมจะได้มาที่นี่เป็นรอบที่ 2 หลังจากรอบแรกมากับที่บ้านตั้งแต่ยังเรียนอยู่
ผมลงเครื่องที่พนมเปญหนึ่งคืนแล้วจองรถบัสนั่ง 5-6 ชั่วโมงเพื่อไปเสียมเรียบ ผมจำได้ว่าพักเที่ยงคนขับรถพาไปร้านอาหารแห่งนึง ฝรั่งทุกคนบนรถมากันเป็นหมู่คณะนั่งกินโต๊ะยาวเป็นสิบๆ ในขณะที่ผมต้องปลีกตัวไปนั่งโต๊ะคนเดียว วันนั้นบอกเลยรีบกินรีบขึ้นรถ วังเวงอย่างบอกไม่ถูก
ไกด์พ่อลูกที่สลับวันพาผมขับรถไปนั่นไปนี่ ทำบัตรเข้าชมนครวัดเอย นั่งกินข้าวด้วยกันก็กลายเป็นความสนิทเอย การสนทนาด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆของผมและคนพ่อถึงเรื่องสมัยอดีตของกัมพูชาช่วงยุค 1974-79 ทำให้เขาเองก็แปลกใจว่าผมรู้รายละเอียดเยอะนัก
น้ำใจของคนพ่อรู้ว่าผมกำลังจะมีบินกลับไทยช่วงเย็นแต่ตอนนั้นผมไปลุย" ปราสาทบากอง" ตั้งแต่เที่ยงจนเหงื่อยชุ่มหลังจึงชวนผมไปอาบน้ำที่บ้านซึ่งตอนนั้นผมสองจิตสองใจกลัวโดนลวงไปฆ่า ฮา
ถึงที่หมายเป็นบ้านไม้เก่าๆเหมือนชนบทบ้านเรา ภรรยาลุงแกเอาน้ำมะพร้าวมาเสริฟและให้ผมไปอาบน้ำตุ่มหลังบ้านก่อนขึงเปลให้ผมนอนเล่นเพื่อรอขับไปส่งผมที่สนามบิน
ภรรยาลุงแกพูดเป็นภาษาเขมรแล้วมองมาที่ผม จนลุงแกแปลให้ฟังว่าป้าแกบอกผมไม่ค่อยเหมือนคนไทยเลยนะ
ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นเพื่อนกับลุงแกในเฟสอยู่ เป็นการเปิดโลกที่ผมรู้สึกรักและมีไฟอยากผจญภัยไปเรื่อยๆ

ในขณะที่ต่างประเทศที่ไกลออกไปผมไม่ค่อยมีแรงจูงใจเท่าไหร่เพราะผมเป็นคนไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยซึ่งการไปสถานที่แบบนั้นเราต้องถามทางต้องสื่อสารกับคนเยอะ
แต่สุดท้ายผมก็ได้เพื่อนที่ "เคมี" เข้ากันจนได้ลุยทริปด้วยกันเยอะแยะทั้ง มัลดีลฟ์, อินโดฯ, ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น
ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามามันเป็นการปลดปล่อยแบบพรวดพราดหลังก่อนหน้านี้ช่วงทำเว็บคนเดียวผมแทบไม่เคยมีวันหยุด ในแต่ละปีได้ค้างต่างจังหวัดคืนนึงก็ถือว่าสวรรค์สำหรับผมแล้ว
พอเริ่มเที่ยวบ่อยขึ้นจากที่แรกๆใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปผมได้ถอยกล้อง Fuji ตามมาด้วย Gopro และใกล้จะมี Drone เป็นน้องใหม่ล่าสุด จากเดิมที่สมัยก่อนเราจะไขว่คว้าตามหาโปสเตอร์ฟุตบอล, รองเท้าสตั๊ด, เสื้อลิเวอร์พูล, ไล่ล่าหาตั๋วไปดูบอล ตอนนี้เป็นอุปกรณ์ในการเดินทางแทนแล้ว
สำหรับในไทยการเดินทางไปจังหวัดนั้นจังหวัดนี้บ่อยครั้งเข้าผมสามารถเที่ยวคนเดียวได้ ขับรถโดยไม่ต้องมีใครมาชวนคุย ขอแค่มีกล้องและขาตั้งกล้องผมไปได้ทุกที่

"เบน ฟรีคิก" ร่ายยาว หลังประกาศขายเว็บไซต์soccersuck


ผมได้ประสบการณ์อะไรใหม่ๆจากการได้เสวนากับเจ้าของที่พักและชาวบ้าน รวมถึงได้รับน้ำใจจากคนแปลกหน้าที่เอ็นดูเราเหมือนลูกหลาน มีอะไรหลายอย่างมากที่ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟัง
ผมรู้สึกได้ทันทีว่าชีวิตที่ผมหมกอยู่แต่บ้านและหน้าคอมมัน "กดทับ" ความเป็นตัวผมมานาน
การทำเว็บที่เต็มไปด้วยความอยาก "ชนะ" ทำให้ผมเคยต้องอารมณ์แปรปรวน,ขี้หงุดหงิดและโมโหร้าย
หลายปีก่อนน้องสาวเคยบอกว่าผมแอบน่ากลัวเพราะเหมือนเป็นคนมี 2 บุคลิกในคนเดียว บทจะดีก็ดี พอโมโหร้ายก็เป็นอีกคนไปเลย ยอมรับว่ารู้ตัวนะแต่ตอนนั้นควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ผมเคยด่าน้องๆนักข่าวแบบสาดเสียเทเสียเพียงแค่ผิดพลาดเล็กน้อย ผมกลัวแค่ว่าเราจะเสียคนอ่านให้คู่แข่ง การอัพเดทข่าวสำคัญช้าเพียงแค่หลัก "วินาที" ก็เพียงพอที่คุณจะเสียเครดิตที่สะสมมา
ผมเคยอยากมีชื่อเสียงสมัยทำนสพ. คิกออฟ ด้วยการเขียนด่าใครหลายๆคน หนึ่งในนั้นคือ บอ.บู๋ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเราก็คุยกันฉันมิตรผ่านอีเมล นอกจากบอ.บู๋ผมยังเขียนแขวะคนอื่นๆแบบไม่เลือกหน้าเพราะอยากดังไว
ผมเหยียบหัวคนอื่นเพื่อให้ตัวเองขึ้นมาถึงจุดที่ตั้งใจเอาไว้ ผมลัพท์มันก็มีทั้งดีและไม่ดี ทั้งๆคนอื่นไม่เห็นจำเป็นต้องสร้างชื่อด้วยวิธีแบบผมเขาก็ประสบความสำเร็จได้
เมื่อเริ่มมีชื่อไปไหนก็มีคนมาทักมาขอถ่ายรูป มีเพื่อนในเฟสเต็ม 5,000 มีผู้ติดตามอีกหมื่นกว่าผมก็เริ่มคะนอง คิดต่างขวางโลกแม่งทุกเรื่อง แขวะด่าทุกอย่างเท่าที่จะเป็นกระแสเพราะรู้อยู่ว่าเรามีพวกในเฟสเยอะ ยังไงเดี๋ยวก็เม้นท์เลียเรา ความคะนองเริ่มทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้
จนในที่สุดผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ตัวผม ผมถูกด้านมืดกดทับแบบไม่รู้ตัวจนวันที่ผมเริ่มหลุดออกมา ผมปิดเฟสหนีความวุ่นวาย มาเปิดเฟสใหม่ เพื่อนหลักร้อย โพสแต่เรื่องกินเรื่องเที่ยว ปัญหาชีวิตส่วนตัวก็ให้มันจบที่ "แชทเรา" ไม่เคยมีโผล่มาในที่สารธารณะเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ผมกลับมองว่านี่แหละคือความสุขที่ผมตามหาอยู่
ครับ....ณ วันนี้ผมได้มองย้อนไปถึงสิ่งที่ผมทำไว้หลายๆอย่าง ผมรู้สึกโทษตัวเอง ความอยากชนะและอยากเป็นที่ 1 ทำให้ผมเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมทำงานได้ทุกเมื่อ
ในขณะเดียวกันโลกโซเซี่ยลที่ตอนนี้แข่งขันกันสูง มีหลายช่องทางมากกว่าเว็บแบบเก่า ผมยอมรับว่าแคแรคเตอร์ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ชอบออกสื่อ ผมเกิดมาเพื่อขีดเขียน พ่นมันออกมาผ่านตัวหนังสือ
คนติดต่อหลังไมค์เพื่อขอสัมภาษณ์ ขอ live สด นั่นนู่นนี่ ผมปฏิเสธหมด ผมไม่ใช่เน็ตไอดอล ผมไม่ใช่คนที่จะมาชี้นำใคร หรือจะมาให้คำสั่งสอนใครได้ ผมไม่อยากมานั่งเล่าหรือพูดถึงความหลังหรืออะไรก็ตามแต่ที่ผมอยากเก็บมันไว้คนเดียว
ล่าสุดผมตื่นนอนงัวเงียสังเกตมีคนแท็กมาในเฟสและในบอร์ด เข้าไปดูเป็นรายการ NR sport ไลฟ์สดพูดถึง SoccsrSuck และตัวผม
ตอนแรกตั้งใจจะดูให้จบเพราะคงพูดถึงผมแค่ 2-3 นาทีเสร็จแล้วเดี๋ยวค่อยไปแปรงฟัน ดูไปเรื่อยๆอ่าวไม่เลิกพูดถึงผมซักที เลยต้องเอาไปฟังในห้องน้ำด้วย แปรงเสร็จอ่าวยังไม่จบ ต้องถือไปฟังตอนเวฟข้าวกินอีก สรุปเกือบทั้งรายการ ขอบพระคุณมากๆครับ
ผมฟังแล้วแอบปลื้มและดีใจจนทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยมีใครที่ไหนมายกย่องให้เกียารติอะไรผมขนาดนี้ มันทำให้ผมได้รู้ว่ามีคนหลายคนที่ได้แรงบันดาลใจให้ไปทำเพจ,ทำช่องยูทูป, ทำรายการของตัวเองเพราะ SoccerSuck
ผมเห็นสมาชิกหลายคนสิงเว็บบอร์ด SoccerSuck แล้วไปเติบใหญ่มีชื่อเสียงในเฟสและยูทูป ผมรู้สึกดีใจกับพวกเขาด้วย สมัยนี้โซเชี่ยลเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ผลิต content มีช่องทางเป็นของตัวเองมันทำให้เราได้รู้ว่าคนเก่งๆพร้อมเกิดได้ทุกวันทุกเวลาทุกนาที
ผมไม่ถนัดจริงๆครับกับการต้องมาออกกล้องออกรายการสดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนจับจ้อง สำหรับคำเชิญของทุกๆคนรวมถึงล่าสุดคุณนิค NR sport ผมขอคิดดูก่อนนะครับ ขอบคุณมากๆที่ยังคิดถึงกันแต่ตอนนี้ผมยุ่งมากกับการโอนถ่ายงานทุกๆอย่างภายในเว็บให้เจ้าของใหม่
แต่ยอมรับอย่างนึงเลยว่าผมไม่ค่อยเหมาะกับโลกโซเชี่ยล ณ ตอนนี้เลย
ผมรู้สึกมีความสุขมากกว่ากับการที่ได้อยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาใส่ใจและพูดถึง หรือพี่เบนครับช่วยดูอันนี้ให้หน่อยหรือพี่เบนครับสมาชิกคนนี้ด่าผมครับ
ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการข่มขู่ของสมาชิกบางคนที่มีปัญหาในบอร์ดก็จะแกล้งผมด้วยการจะไปแจ้งความไกลๆเช่น 3 จังหวัดชายแดน ทำจริงไม่ทำจริงไม่รู้แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกถูกคุกคาม
ผมซึ่งไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแต่ต้องคอยเป็นกรรมการตัดสินปัญหาระหว่างคน 2 คนกับความเห็นที่ไม่ลงรอยกันแถมเป็นเรื่องไร้สาระขี้หมูขี้หมา
เมื่อผลตัดสินออกมาไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหนผมมีแต่เจ็บตัว คนผิดไม่ยอมรับ โกรธแค้น บางคนขอเลิกเล่นเว็บ ศัตรูผมเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
ผมถูกท้าทายจากสมาชิกด้วยการเล่นแร่แปรธาตุกับช่องโหว่ของกฏต่างๆจนบางครั้งผมไม่กล้าแบนไม่เด็ดขาดเหมือนสมัยแรกๆ
นอกจากนี้การพัฒนาเว็บมันหยุดมาหลายปีเพราะ project ที่เคยร่างไว้และยื่นให้โปรแกรมเมอร์ไปพิจารณาต้องพับฐาน นอกจากค่าใช้จ่ายสูงแล้วระบบเดิมมันค่อนข้างเก่าเกือบ 10 ปี
ดังนั้นการจ้างเขียนเพิ่มเติมก็ต้องรื้อของเดิมใหม่หมดและแน่นอนงบต้องสูงตาม
ด้วยวัยขนาดผมการลงทุนหนักๆมันไม่เซฟตี้เหมือนเมื่อก่อน ผมก็ต้องระวังทุกย่างก้าวเพราะผมยังต้องแบกภาระเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆในเว็บอยู่
ที่สำคัญเมื่อเราลงทุนมีค่าใช้จ่ายเยอะเราต้องหาเงินให้มากขึ้น ตัวผมเองไม่ถนัดเรื่องการตลาดมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมถนัดแต่ผลิต content ผมไม่มีทีม sale ใดๆ มีแต่ระบบตอบแทนบุญคุณที่ช่วยเหลือเว็บมาตั้งแต่สมัยยังไม่มีรายได้
เมื่อเขาเข้ามาดูแลขายโฆษณาก็เริ่มขายแบบไม่เลือกมันก็ทำให้เว็บเป็นอย่างที่เห็น ไอ้ครั้นเราอยากจะล้างไพ่เพื่อเริ่มนับหนึ่งก็ทำได้ยากเพราะบางรายก็ลง 6 เดือนบ้างลงเป็นปีบ้าง บางรายช่วยเหลือเรามานานก็ต้องตอบแทน สลัดออกดื้อๆมันก็จะมีปัญหาตามมาแน่นอน
น้ำท่วมปากทำอะไรมากไม่ได้ การตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างมันไม่ใช่ผมคนเดียวอีกแล้ว
การสูญเสียหัวหน้า, พี่ที่เคารพ หรือล่าสุดเพื่อนรักที่สุดในชีวิตยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องทำงานหนักแล้วจากโลกนี้ไปโดยที่เรายังไม่ได้ทำอะไรอีกมากมายที่อยากทำ
เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกที ไม่วันใดวันหนึ่งอาจจะมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นอันนี้เราเองก็ไม่รู้
ทุกๆครั้งที่ไปดำน้่ำ ปีนเขา หรือนั่งเครื่องบิน ผมชอบคิดไปเองตลอดว่าถ้าเราเป็นอะไรไปใครจะจ่ายเงินเดือนน้องๆ ใครจะตอบอีเมลลูกค้า ใครจะคอยดูแลความเรียบร้อยในบอร์ดต่อจากเรา ภาพ 18+ ใครจะมานั่งดูแทนเรา
ขนาดไปเที่ยวเกาะเต่าซึ่งเป็นกิจกรรมทางน้ำแต่ผมดันไปหลงป่าตอนขึ้นไปจุดชมวิวได้อ่ะคิดดู ไปขึ้นเขาผิดลูกหลงอยู่ 3 ชั่วโมงหาทางลงไม่ได้ ต้องปีนหน้าผาลงมา โบกมือขอความช่วยเหลือก็ไม่มีใครเห็น ฝรั่งก็ดันโบกมือทักทายกลับอีก ต้องปีนโขดหินเลือดซิบกว่าจะกลับเข้าฝั่งได้
การพักฟิ้นจากการผ่าตัดเอ็นไขว้ขาดก็เป็นอีก "ตัวเร่ง" ทำให้ผมเห็นคุณค่าในชีวิตตัวเองแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ผมเห็นถึงความสำคัญของ พ่อ, แม่, พี่ชาย และ น้องสาว มากกว่าที่เคย
คนที่ผมเคยทุ่มเท คิดถึงแต่เขามากกว่าใครๆสุดท้ายเมื่อถึงจุดๆนึงเขาก็มีคนสำคัญกว่ารออยู่ เราต่างหากคือคนสำคัญที่สุดของครอบครัวไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนๆ
ผมจึงไม่ค่อยกล้าเปิดรับอะไรอีกแล้ว ผมพยายามเลี่ยงความสัมพันธ์ทุกรูปแบบที่อาจก่อตัวเป็นความสนิท ผมจะมีกำแพงกั้นเอาไว้หากเกิดการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาเพราะผมรู้ตัวว่าผมเข้ากับคนยาก ผมไม่อยากให้ใครมาเกลียดในความเป็นตัวผม รู้จักเพียงแค่ผิวเผินเป็นความสัมพันธ์ที่ให้เกียรติกันที่สุดแล้วผมว่านะ
ผมไม่อยากมีศัตรู ไม่อยากแบกภาระที่หนักเกินตัว ไม่อยากรับรู้ปัญหาของคนอื่น
ผมแอบเห็นคนพูดถึงว่าผม "หมดไฟ" คำนี้มันอาจกว้างไปนิด ผมยังดูบอลอยู่ เสาร์อาทิตย์ไม่ออกไปไหน โซฟาผมเป็นรอยบุ๋มเพราะผมเผลอฟาดไปหลายทีเวลา ลิเวอร์พูล ยิงประตูสำคัญได้ (รวมถึงแมนฯยูฯโดนยิง)
แต่ที่ผมว่าอันตรายสำหรับการทำงานในฐานะ "เจ้าของเว็บ" คือคุณใหญ่สุดไม่มีใครสั่งอะไรคุณได้นี่แหละ ครั้งนึงมันมีประเด็นสำคัญต้องเขียนคอลัมน์ ผมก็ตั้งใจจะเขียนนะเพราะหลายๆเพจหลายๆเว็บก็เล่นกัน (แต่เรื่องอะไรอันนี้ผมลืมแล้ว)
บังเอิญช่วงนั้นผมติดเกม ซื้อเกมมาตุนไว้เพียบ เล่นเกมนี้จบไปต่อเกมนี้ เรียกว่าเคยติดเกมหนักๆแบบตื่นมาเล่นแทบไม่เข้าเว็บเลยอยู่พักใหญ่ๆเลย
ผมก็เลยคิดว่างั้นกูไม่เขียนอ่ะ ขี้เกียจ ใครจะทำไม?
ผมไม่อยากนั่งๆนอนๆพอใจอยู่กับการปล่อยให้น้องๆทำงาน เว็บไม่พัฒนา ตัวเองเที่ยว รอเงินเข้า มันคือการฆ่าสิ่งที่ตัวเองรักทางอ้อม

เมื่อทุกอย่างมันสะสมได้ที่ใช้เวลาอยู่หลายปี ผมจึงคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมต้องสละเรือลำนี้ได้แล้ว
ภาระกิจสุดท้ายของผมคือจะให้ใครมาขับเรือลำนี้ต่อ
ผมประกาศขายเว็บครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม มีข้อเสนอเข้ามาเยอะมากถึงมากที่สุดโดยเฉพาะช่วงสัปดาห์แรกตอบกันมือหงิก
อย่างไรก็ตามมี 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ตัวย่อ T และเว็บไซต์ S ติดต่อมาเอาจริงเอาจังถึงขั้น video call จนผมเองก็ตื่นเต้นตามไปด้วย
โดยเฉพาะ T ครั้งแรกประชุมสาย 3 พวกเค้ารุมถามผมจนตอบไม่ทัน หนสอง video call คนเยอะกว่าเดิมจนผมเกร็งไปหมด ผมก็คิดไปไกลแล้วว่าเอาแหง๋ๆ
ในขณะที่ S ซึ่งติดต่อมาช่วงเกือบๆโค้งสุดท้ายเดือนกรกฏาคม เป็นระดับผู้บริหารก็ video call คุยกัน ถามทุกอย่างที่อยากถาม รายนี้น่าจะเอาจริงเหมือนกัน
แต่อย่างที่เราทราบกันดีบริษัทใหญ่ internal process เยอะ ประชุมบอร์ดเอย, กรรมการบริษัท นั่นนู่นนี่ ซึ่งจะอะไรก็ตามแต่จังหวะการขายของผมมันก็ไม่ดีด้วยแหละ เป็นช่วง covid พอดี ทุกอย่างจากที่ยากอยู่แล้วจึงยากเข้าไปอีก
ผมเสียเวลารอ 2 เจ้านี้อยู่ 5 เดือน(ในระหว่างนี้ก็ปฏิเสธที่อื่นทุกราย) เงียบจนคิดว่าไม่น่าได้ไปต่อ ผมเลยพิจารณาเป้าหมายรองลงมา
เอาจริงๆผมสามารถขายเว็บได้เงินไปใช้สบายๆตั้งนานแล้วเพราะเว็บพนันเอย เว็บสีเทาเอยก็พร้อมทุ่มติดต่อเข้ามาเยอะมาก เสนอเงินชนิดที่ผมสามารถอยู่อย่างราชาได้เลยล่ะ
แต่อย่างที่บอก ผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน คือไม่ได้ร่ำรวยนะแต่พ่อแม่ไม่ได้สร้างหนี้อะไรไว้เลย มีบ้านให้อยู่แบบไม่ต้องมานั่งผ่อน แล้วแกก็ไม่ค่อยชอบรบกวนลูกๆ บางทีลูกๆให้เงินเดือน แกยังบอกเยอะไปขอแค่นี้พอ!! ดังนั้นเรื่องเงินจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของผมในการขายเว็บเลย
ผมเคยเกือบลงเอยขายเว็บให้นายทุนที่อยู่ "สิงคโปร์" รายนี้มีหลายธุรกิจและติดต่อมาตั้งแต่เมษายน ผมก็บ่ายเบี่ยงอยากรอฟังหลายๆข้อเสนอมากกว่านี้ เขาก็รักจริงรอได้
จนเดือนกรกฏาคมถึงเวลาที่เขาขอนัดคุยเพื่อตกลงรายละเอียด เรียกว่าเขาอยากเซ็นกับเราวันนั้นเลยแต่ผมขอกลับไปคิดดูก่อน จนกระทั่งเราตอบกลับว่าโอเค แต่จู่ๆเขาขอยกเลิกดีลเพราะมีปัญหาการ transfer เงินจากสิงคโปร์
วันนั้นผมอุตสาห์ขับรถเข้าเมืองไป meeting ไกลจากบ้านผมมากเลยแหละ ฝนตกหนักอีกต่างหาก พอดีลล้มผมก็เฟลนะ เหมือนเขามาขายฝัน จะขยายตลาด SS ไปทั่วอาเซียน นั่นนู่นนี่
จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่กี่วันเรียกว่าเป็นช่วงเดดไลน์ของเดือนสิงหาคมที่ผมตั้งใจอยากจะขายให้ได้เดือนนี้และมีตัวเลือกในลิส 3 รายในมือ แต่กลับมีอีเมลฉบับนึงโผล่ขึ้นมา
ผมเข้าไปอ่าน เป็นชื่อที่คุ้นเคยเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาส่งเมลหาผม...
ผมย้อนกลับไปดู เขาส่งหาผมหลายรอบ ตั้งแต่สมัยที่ผมไม่มีความคิดจะขายเว็บเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยซ้ำ
ตอนนั้นผมปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ขาย (ถ้าใครจำได้ผมเคยเอามาโพสในเฟสแซวๆกันอยู่เลย)
รายนี้ผมรู้สึกแปลกๆ คือมาเสนอราคาอย่างเดียวไม่สอบถามข้อมูลอื่นเลย
ทำให้ผมคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่านี่คือ "เว็บพนัน"
จนกระทั่งเมลล่าสุดก่อนนัดเจอคือเขาถามว่าสถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว ยังสนใจขายเว็บอยู่ไหม
ผมจึงตอบกลับไปว่าถ้าเจ้านายคุณจริงจังก็โทรมาคุยกันก่อน ผมอยากรู้ว่าคุณคือใคร คิดจะทำอะไร จนกระทั่งนัดหมายที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างดังย่านลาดพร้าว
ที่โต๊ะอาหารผมพบเด็กหนุ่ม 3 คน อายุไม่น่าจะเกิน 30 หรืออาจจะ 30 กลางๆ อาจจะไม่ตรงกับจินตนาการของผมในทีแรกที่นึกว่าน่าจะเป็นชายวัย 40-50 อะไรประมาณนี้
แต่ผมไม่ใช่พวกบุลลี่อยู่แล้ว(ยกเว้นตอนโมโห) ผมเป็นคนเชื่อในศักยภาพของคนที่เหมือนไม่มีอะไรเพราะผมอ่านประวัติพวก สตีฟ จ็อบส์ หรือ บิล เกตส์ มาเยอะ พวกเด็กเนิร์ดที่หลายคนมองว่าบ้าไร้กึ๋นสามารถพลิกโลกมาแล้ว
ใช้เวลาคุยกันเกือบ 2 ชั่วโมง ผมไม่แตะอาหารเลย กินแต่น้ำเปล่า อารมณ์ผมอยากรู้ว่าพวกคุณคือใคร จะทำอะไรกับ SS ของผม
สิ่งที่ผมประทับใจคือ 2 ในนั้นเป็นผู้คลุกคลีอยู่กับเว็บ รู้ทุกความเคลื่อนไหวในเว็บ กระทู้ 18+, ศัพท์แสงที่พวกผมกับสมาชิกสื่อสารกันในเว็บบอร์ดเขาก็รู้ และที่สำคัญน้องเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวผมมากกว่าที่ผมรู้เรื่องตัวเองซะอีก!!
มีการพูดถึงการทำเสื้อ SS ขายในราคาเท่าทุนเพื่อสร้างแบรนด์ใหม่ เน้นโซเชี่ยลช่องทางต่างๆเนื่องจากมีทีมงานทางด้านนี้อยู่แล้ว ปรับหน้าตาเว็บให้ทันสมัยมากขึ้น, มีเซลวิ่งขายโฆษณา, มี connection กับสโมสรในไทย เคยเป็นสปอนเซอร์หน้าอกในไทยลีกมาแล้วด้วย
การคุยดีเทลอะไรพวกนี้มันไม่เคยมีหลุดจากปากของเจ้าอื่นๆ ทำให้ผมเริ่มมีใจให้ทีละนิด (แม้ภายนอกผมจะนิ่งและเก็บอาการ)
ก่อนซื้อและหลังซื้ออาจพูดไม่เหมือนกันแต่ในเมื่อลงทุนไปแล้วผมเชื่อว่า ศักยภาพของ "บริษัท บอลไทย 2020 จำกัด" ทำได้แน่นอน (แผล่บๆ)
ในสัญญามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมและพวกเราสบายใจได้คือเจ้าของใหม่จะไม่เอาเว็บไปทำสิ่งผิดกฏหมายใดๆซึ่งเป็นสิ่งที่ผมซีเรียสมากซึ่งทางเขาเองไม่มีปัญหาเลยเนื่องจากแสดงเจตนาตั้งแต่แรกแล้วว่ามีแผนพัฒนาในทางที่ถูกต้องรออยู่
ตอนแรก บริษัท บอลไทย 2020 จำกัด ไม่อยากให้มีการประกาศซื้อขายออกสู่สาธารณชนเนื่องจากกลัวสมาชิกตื่นตระหนกจนพากันไม่เข้าเนื่องจาก SS ยังผูกติดกับตัวผมชนิดแยกกันไม่ออก
แต่ผมกลับเห็นต่างและยืนยันว่าผมเคยประกาศขายเอาไว้ตั้งแต่มีนาคม สมาชิกในเว็บต้องการความชัดเจนและทิศทางที่ผมวางเอาไว้
ผมกับสมาชิกสนิทกัน เรามีอะไรบอกกันตรงๆ ทุกคนเข้าใจและพร้อมสนับสนุนผมเสมอ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีเวลาผมมีปัญหาหรืออยากปรึกษาผมมักคุยกับสมาชิกในบอร์ดเสมอ
"SS ไม่ใช่สถานที่แต่มันคือผู้คน"
วลีนี้ยังใช้ได้ตลอดไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผมเชื่อว่าสังคมที่ผมและสมาชิกช่วยสร้างกันมา 20 ปีจะเดินทางอีกยาวไกลโดยไม่ยึดติดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งนั่นหมายถึงผมในฐานะผู้ก่อตั้งด้วย
ในช่วงปีแรกๆเจ้าของใหม่ยืนยันว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ผมและพนักงานทำงานตามปกติเพราะต้องการใช้เวลาช่วงนี้เรียนรู้ระบบและวางแผนสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลงภายในเว็บให้เป็นรูปเป็นร่างก่อน
ในระหว่างที่รอเซ็นสัญญา 1 สัปดาห์แอบมีดราม่าเล็กๆเมื่อสื่อยักษ์ใหญ่โผล่เข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายและพร้อมเกทับให้เงินมากกว่า
ถ้าเปรียบเทียบวงการฟุตบอลก็คือตรวจร่างกายผ่านฉลุยเดินทางกลับที่พักเพื่อรอเซ็นสัญญาแต่จู่ๆมีโทรศัพท์ทาบทามคุณถึงห้องพักจากอีกสโมสรหลายหน
ผมยอมรับว่าตอนนั้นสับสนพอสมควรเพราะเขาเองก็รู้ตั้งแต่วันแรกๆที่ผมประกาศขายแต่มาจริงจังเอาวันที่มันสายไปแล้ว ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นดีลที่สั่นสะเทือนวงการแน่ๆแต่ด้วยบุญวาสนาเราสองคนมีไม่มากพอที่จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน
ผมอาจเลียนแบบ "วิลเลี่ยน" ก็ได้นะที่ตรวจร่างกายกับ สเปอร์ส ไม่นานแต่เปลี่ยนใจไปเซ็นสัญญากับ เชลซี
แต่ผมไม่อยากเสียสัจจะ ไม่อยากถูกตราหน้าว่าเห็นแก่เงิน ไม่อยากทำลายมิตรภาพ ไม่อยากให้การขายเว็บหนนี้ลงท้ายด้วยการมีศัตรูเพิ่มขึ้น
ผมบอกตรงนี้เลยนะครับหากในอนาคตมีคนพูดว่า SS ดีขึ้นกว่าตอนผมเป็นเจ้าของ ผมจะไม่เสียใจเลย ผมจะดีใจด้วยซ้ำเพราะนั่นหมายถึงผมตัดสินใจขายให้คนที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ผมเคยเอียนกับวลีที่ได้ยินมาตลอดทั้งชีวิตคือ "ถ้ารักเขาจริงก็ต้องปล่อยเขาไป"
วันนี้ผมเจอกับตัวเองจังๆ ผมเข้าถึงคำๆนี้แล้ว
ผมได้ระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจมาหลายต่อหลายปีหมดแล้ว รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกันแฮะ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกเศร้า ผมอยากให้ทุกคนแสดงความยินดีกับการเดินทางไกลครั้งนี้ของผมมากกว่า
ท้ายที่สุดนี้หากต้องมีคำพูดสั่งลาในฐานะเจ้าของเว็บ SS ผมคงแค่อยากฝากบอกลูกในวัย 20 ปีคนนี้ว่า
"พ่อคงไม่ไปไหนไกลและขอเฝ้าดูลูกเติบโตอยู่ตรงนี้"

logoline