"วันนี้นัดกับท่านอธิบดีดีเอสไอบ่ายสามโมงครึ่งเพื่อยื่นเรื่องฟ้องร้อง จากนั้นจะไปปปง.ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ อคส.ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการทุจริต เพราะการรักษาผู้อำนวยการอคส.ดำเนินการโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการอคส.(บอร์ดอคส.) ทั้งๆ ที่มูลค่าการซื้อขายเป็นเงินจำนวนมากแต่ผมไม่ห่วงเรื่องอนุมัติเงิน สิ่งที่ห่วงคือ เมื่อขายถุงมือยางไปแล้วอคส.จะเก็บเงินจากผู้ซื้อไม่ได้" นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
ด้านพ.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่าหากมีการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อดีเอสไอแล้ว พนักงานสอบสวนจะเรียกผู้ถูกฟ้องไปสอบสวนซึ่งตนพร้อมชี้แจงรายละเอียดทั้งหมด ยืนยันว่า การจัดซื้อครั้งนี้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างถูกต้อง และไม่มีการทุจริตมีเพียงต้องการหาเงินให้กับอคส. เพราะขณะนี้ อคส.ขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกันรวมกว่า 11,700 ล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อถุงมือยางและขายต่อให้กับผู้ซื้อในต่างประเทศ ในราคากล่องละ 230 บาทจะทำให้อคส.มีกำไรกล่องละ 5 บาท รวมแล้วอคส.จะมีกำไรหลายพันล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้50% ส่งให้หลวง และอีก 50% เป็นรายได้ของอคส.
รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากนายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุตรับตำแหน่งผู้อำนวยการอคส.คนใหม่เมื่อวันที่ 10 ก.ย.63และเจ้าหน้าที่ของอคส.ได้รายงานเรื่องต่างๆ ให้ทราบรวมถึงเรื่องการลงทุนในโครงการต่างๆ และหนึ่งในนั้นคือ การจัดซื้อถุงมือยาง 500ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาท โดยมีการจัดซื้อกันในเดือนส.ค.63ในช่วงที่พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ เป็นรักษาการผู้อำนวยการ อคส.และนายเกรียงศักดิ์ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงการรายงานเรื่องต่างๆให้นายเกรียงศักดิ์ รับทราบนั้น มีการตั้งคำถามว่าเหตุใดการจัดซื้อถุงมือยางครั้งนี้ไม่ผ่านการพิจารณาของบอร์ดอคส.และบริษัทผู้ผลิตถุงมือยาง ที่อคส.สั่งซื้อนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่ อย่างไรเพราะเพิ่งจดทะเบียนบริษัท เมื่อเดือนก.ย.63 มีทุนจดทะเบียน 2,500ล้านบาท แต่ชำระทุน ณ วันจดทะเบียน 5 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 15 ก.ย.63เพิ่งจะเพิ่มทุนในส่วนที่เหลือจนครบ 2,500 ล้านบาท นายเกรียงศักดิ์จึงได้รายงานเรื่องนี้ต่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์จนนำมาซึ่งการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และเสนอให้นายกรัฐมนตรีสั่งย้ายพ.ต.อ.รุ่งโรจน์ ไปสำนักนายกรัฐมนตรีจนกว่าการสอบข้อเท็จจริงจะแล้วเสร็จ