2. กทม.สามารถลดภาระหนี้ได้ถึง 1.1 แสนล้านบาทเพราะโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในช่วงสายหลัก เป็นของกทม.แต่ส่วนต่อขยายเป็นการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือรฟม. เป็นผู้ก่อสร้างและต่อมารัฐบาลได้โอนส่วนต่อขยายมาให้กทม.พร้อมทั้งหนี้ก่อสร้างประมาณ 9หมื่นล้านบาท เมื่อรวมดอกเบี้ยอีกประมาณเดือนละ 50-60 ล้านบาทจนถึงปัจจุบันรวมมูลหนี้สูงถึง 1.1 แสนล้านบาทในส่วนนี้ทางบีทีเอสจะต้องรับภาระหนี้ตรงนี้ไปทั้งหมด ทำให้กทม.สามารถปลดภาระหนี้ส่วนนี้ได้
3. กทม.จะมีส่วนแบ่งรายได้เพิ่มมากขึ้นเพราะหลังจากปี 2572 เป็นต้นไปบีทีเอสจะต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้จากรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดทั้งเส้นทางให้กทม.โดยตามหลักการในช่วงปีแรกๆ จะมีการกำหนดส่วนแบ่งรายได้ให้กักทม.ยังไม่มาก เช่นปี2574 อาจจะได้น้อยหน่อย แต่จะไปเพิ่มปีหลังๆ หรือปี 2580 ขึ้นไปก็จะได้มากขึ้นซึ่งตลอดอายุสัมปทานคาดว่ากทม.จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากบีทีเอสสูงถึงแสนล้านบาทซึ่งการกำหนดสัดส่วนเงื่อนไขของส่วนแบ่งรายได้จะมีการเจรจากันอีกครั้งหลังจากที่ครม.อนุมัติต่อสัญญาสัมปทานและมีลงนามสัญญาแล้ว
"เงื่อนไขที่กล่าวมานี้กทม.ได้บีบบีทีเอสจนยอมตกลง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือกทม.มองว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากอัตราค่าโดยสารที่ลดลงถึง 70%และกทม.ยังไม่ต้องแบกรับหนี้แสนล้านด้วย"
สำหรับการเจรจาต่อสัมปทานทางด่วนสายสีเขียวยืนยันว่ามีความโปร่งใส และถูกระเบียบ เพราะกทม.ไม่ได้ทำโดยพละการแต่มีกระทรวงมหาดไทยประสานกระทรวงคมนาคมตรวจสอบและร่างสัญญาที่จะมีการลงนามกับบีทีเอสยังได้ส่งไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบแลวจึงมีความโปร่งใส ไม่ขัดระเบียบใดๆ
ส่วนประเด็นที่มีการชี้แจงในสภาฯถึงสาเหตุที่นายปรีดีดาวฉาย ลาออกจากรมว.คลัง เพราะต้องต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น พล.ต.อ.อัศวินกล่าวว่า ไม่มีหรอก ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกขณะที่การเสนอวาระต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าครม.นั้น เป็นเรื่องของกระทรวงการคลังที่จะดำเนินการ