svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ต่างประเทศ

14 ก.ย. 2355 มอสโกแตก

13 กันยายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังจากที่ทำสงครามกันมาไม่นานในปี 1812 กองทัพนโปเลียนผู้รุกราน ก็สามารถบดขยี้กองทัพพระเจ้าซาร์ให้ถอยร่นรูดทะราดได้สำเร็จ และในที่สุด นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ก็ยาตราทัพเข้ามอสโกในฐานะของผู้ชนะนโปเลียน ยกทัพเข้ามาในกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2355

ในสมัยนั้นกรุงเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถือเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของประเทศ แต่มอสโก ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงทางด้านจิตวิญญาณของคนรัสเซียทั้งประเทศอยู่เช่นเดิม
แต่มอสโกในวันที่นโปเลียนเดินเข้าไป ไม่ใช่มอสโกแบบที่พระองค์หวังจะได้พบเจอ เพราะนอกจากจะไม่มีข้อเสนอของการยอมแพ้จากพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 แล้ว ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ทางการคนใดมาต้อนรับตามธรรมเนียมในฐานะผู้พิชิต และมีการมอบกุญแจเมืองให้ เพื่อขอการปกป้องไม่ให้ฝ่ายผู้พิชิตทำร้ายชาวเมือง
เมื่อมาที่ประตูเมือง และไม่พบเจ้าหน้าที่ผู้ใด พระองค์ก็จึงส่งคนเข้าไปดูในเมือง แต่ไม่พบใครอีกเช่นกัน ก็จึงชัดเจนว่าชาวมอสโกไม่ยอมจำนน พวกเขาพากันทิ้งมอสโกไปอย่างไม่มีเงื่อนไข ทั้งเมืองแทบกลายสภาพเป็นเสมือนเมืองร้าง นายกเทศมนตรีเมือง ก็ได้สั่งระงับระบบสาธารณูปโภคทุกอย่างไปก่อนแล้วด้วย เพื่อไม่ให้พวกฝรั่งเศสได้ใช้ประโยชน์
นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่ทำสงครามมาอย่างยากลำบาก นโปเลียนที่หวังจะเป็นผู้พิชิตรัสเซีย ก็ยังไม่สามารถพิชิตประเทศนี้ได้อย่างราบคาบ สงครามยังจะต้องดำเนินต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นไปอีกนานแค่ไหน
สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าของกองทัพก็คือเรื่องปากเรื่องท้อง ตามธรรมเนียม เมื่อชนะศึก ชาวเมืองที่พ่ายแพ้ ต้องเป็นฝ่ายหุงหาอาหารมาเลี้ยงดูทหารฝ่ายข้าศึกให้อยู่ดีมีสุข แต่นี่เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ทหารที่หวังจะได้อิ่มหมีพีมัน กลับต้องหากินกันเอาเอง เล่นเอานโปเลียนฉุนยกใหญ่ เหมือนกับถูกพวกรัสเซียปล้นชัยชนะในเวลาสำคัญ
สมัยนั้นกรุงมอสโกมีประชากรราว 270,000 คน เมื่อมีคำสั่งอพยพออกมา และประชาชนจำนวนมากได้อพยพออกไปแล้ว คนที่เหลือก็ได้จุดไฟเผาเมือง หรือไม่ก็ขนเอาอาหารออกไป เพื่อไม่ให้ทหารฝรั่งเศสได้ใช้ ตอนที่นโปเลียนมาถึงพระราชวังเครมลิน ชาวกรุงมอสโกเหลืออยู่แค่ราว 1 ใน 3 ซึ่งโดยหลักแล้วก็เป็นชาวต่างชาติ คนที่ไม่สามารถอพยพ หรือพวกที่ไม่อยากอพยพ
เมื่อไม่ได้อิ่มหมีพีมันตามที่ตั้งใจไว้ ในขณะเดียวกัน กลับมีแววว่าจะอดอยาก เพราะนี่ก็ใกล้หน้าหนาวเข้าไปแล้ว และใครต่อใครต่างก็รู้ดีกว่าหน้าหนาวของรัสเซียนั้นโหดขนาดไหน พวกทหารก็เลยแตกแถว ออกปล้นสะดมข้าวของที่ก็มีเหลือน้อยอยู่แล้ว และในเย็นวันนั้นเอง ไฟจากการเผาเมืองของพวกรัสเซีย ก็เริ่มลุกไหม้มอสโกครั้งใหญ่ และไหม้อยู่หลายวัน
สมัยนั้นอาคารบ้านเรือนในกรุงมอสโกส่วนมากสร้างมาจากไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เมืองนี้จึงวายวอดไปทั้งเมือง ประเมินกันว่าเมืองถูกไฟเผาไปราว 4 ใน 5 ส่วน
แต่ข้อมูลบางแหล่งก็บอกว่า จุดเริ่มต้นของไฟ ไม่ได้มาจากทั้งพวกก่อวินาศกรรมชาวรัสเซียหรือทหารฝรั่งเศส แต่เป็นอัคคีเพลิงที่มีสาเหตุมาจากความสะเพร่าที่เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ปัญหาก็คือตอนนั้นไม่มีหน่วยดับเพลิงอยู่ในเมืองแล้ว จึงไม่มีใครดับไฟ
เมื่อเมืองที่ยิ่งใหญ่กลายเป็นขี้เถ้าและเศษถ่าน ขณะเดียวกันพวกรัสเซียก็ไม่ยอมแพ้สักที และเผลอ ๆ ก็ยกกำลังมาตอบโต้เอาเสียด้วย ในที่สุด นโปเลียนก็ตัดสินใจถอยทัพกลางเดือนตุลาคม

งานนี้พวกรัสเซียกดดันให้กองทัพนโปเลียนต้องถอยทัพกลับไปทางเดิม ตอนที่รุกเข้ามา เพราะตามเส้นทางสายนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อยยับไปหมดแล้วจากการทำสงครามก่อนหน้านี้ นั่นก็หมายความว่า กองทัพนโปเลียนจะขาดแคลนอาหาร และที่พักอาศัยอย่างหนัก ซึ่งตามปกติ เรื่องนี้ก็สำคัญมากอยู่แล้ว แต่ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีก เมื่อมันเป็นฤดูหนาว
ทหารม้าอันเกรียงไกรของฝรั่งเศสก็หมดสภาพ เมื่อม้าตายเพราะไม่มีหญ้า หรือไม่ก็โดนฆ่าเพื่อเอาเนื้อมากินยังชีพ เมื่อไม่มีม้า ปืนใหญ่ก็ไม่มีใครลาก ก็จึงต้องทิ้ง ทหารปืนใหญ่ก็เลยต้องหมดสภาพตามไปด้วย ทหารที่ทนลำบากไม่ไหว ก็ต้องหนีทัพ บ้างก็ถูกชาวบ้านรัสเซียสังหาร บ้างก็เป็นเชลย

14 ก.ย. 2355 มอสโกแตก


เดือนพฤศจิกายน 1812  มีข่าวว่าในฝรั่งเศสมีผู้พยายามก่อรัฐประหาร นโปเลียนจึงรีบเดินทางกลับฝรั่งเศส ขณะที่กองทัพฝรั่งเศสในรัสเซียก็ยังคงถูกบดขยี้อย่างหนักต่อไป และพวกเขาถูกขับออกจากเขตของรัสเซียทั้งหมดเมื่อ 14 ธันวาคม 1812
ข้อมูลบางส่วนบอกว่า ทหารฝรั่งเศสรอดชีวิตจากสงครามในรัสเซียแค่ 22,000 นาย จากที่ส่งมา 690,000 นาย แต่ข้อมูลบางส่วนบอกว่าทหารฝรั่งเศสตายไปไม่เกินกว่า 380,000 นาย

14 ก.ย. 2355 มอสโกแตก

logoline