"สุชาติ"แนะ4แนวทางแก้ศก.กันคนไทยและชาติเป็นหนี้พุ่ง

(13 กันยายน 2563) ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง กล่าวเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมาว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยที่มีข้อเสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาทมาใช้จ่าย และขอตั้งข้อสังเกตถึงจ้อเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบกว้างๆ ไว้ 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1.ปรับค่าเงินบาทจาก 31 บาท เป็น 35 บาท และแม้จะได้เงินจากส่งออก 1 เหรียญสหรัฐเท่าเดิม แต่แลกได้เพิ่มอีก 4 บาท เพิ่ม 13% ต่อให้ส่งออกและท่องเที่ยวเท่าที่เป็นอยู่ ก็ได้เงินบาทเพิ่มขึ้นแต่จริงๆแล้ว ส่งออกจะดีขึ้น GDP จะติดลบน้อยลง แต่คนที่ส่งออกและรับนักท่องเที่ยวที่แท้จริง คือ กรรมกรและชาวนา ดังนั้น เกือบทุกคนในประเทศไทยจะได้ประโยชน์

2.คนไทยส่วนใหญ่ยังทำงานอยู่ 34 ล้านคน มีคนว่างงานตอนนี้ 4 ล้านคน หากรัฐบาลแจกเงินบ่อยๆ จะทำให้คนไทยเสียนิสัย เหมือน เวเนซุเอลา ซิมบับเว ฯลฯ คนจะเลิกทำงาน แล้ววันต่อๆมา ก็มาเรียกร้องอีก ประเทศจะล่มจม 3.นักอุตสาหกรรม ที่เรียกร้องรู้แต่ระดับ Micro ไม่รู้เรื่อง เศรษฐศาสตร์มหภาค คิดแต่เรื่องประโยชน์ตนเอง อยากให้รัฐบาลช่วยจ่ายค่าแรงโรงงานตนเอง และ 4.ให้เปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศให้เต็มพื้นที่แบบจีน เปิดการท่องเที่ยวกับจีนก่อน และประเทศในเอเชียต่อมา ให้ยอมรับว่ามึการติดเชื้อได้โควิดบ้าง ครอบครัวคนจนๆ อย่างคนไทย กลัวติดเชื้อมาก จนไม่มีรายได้ ตั้งหน้าตั้งตา ไปกู้มากินอย่างเดียว ครอบครัวต้องล่มจม

อนึ่ง แนวคิดเรื่องระบบเศรษฐกิจมี 4 เครื่องยนต์ หากเศรษฐกิจแย่ ให้เพิ่มรายจ่ายภาครัฐ (G) และกระตุ้นการบริโภค (C) เพื่อเพิ่ม GDP นั้น ไม่ถูกต้อง เป็นเศรษฐศาสตร์ 101 ทำอย่างนี้มากๆ รัฐบาลและประชาชนจะมีหนี้สินล้นพ้นตัว ในระยะยาวประเทศจะไม่เจริญเติบโต เพราะต้องเอาเงินมาใช้หนี้

ทั้งนี้ แต่วิชาเศรษฐศาสตร์ระดับสูงบอกว่า เศรษฐกิจไม่ดีนั้น เนื่องจากครอบครัวประเทศไทยขายสินค้าออกไปได้น้อย GDP จึงโตต่ำ ให้ลดราคาสินค้าให้แข่งขันให้ขายได้ คือ ลดค่าเงินบาทลง เพื่อครอบครัวประเทศไทยขายส่งออกและท่องเที่ยวได้มากขึ้น เมื่อราคาค่าเงินบาทแข่งขันได้ ก็จะขายได้มากมาย GDP จะเติบโตมากเป็น 10% ประเทศและประชาชนไทยจะร่ำรวย

"การเพิ่มตัว C หรือตัว G นั้นไม่ได้ช่วยเท่าไร เพราะนโยบายการคลังมีผลน้อยต่อ GDP โดยนโยบายการเงินมีผลมากกว่า และนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมีผลมากที่สุดต่อ GDP โดยรัฐบาลไม่ต้องสร้างหนี้" ศ.ดร.สุชาติ กล่าว