svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"บิ๊กป๊อก" สวน "โจ้" ต้นตอปัญหา "สายสีเขียว" เริ่มปี 51

10 กันยายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"อนุพงษ์ เผ่าจินดา" สอนประวัติศาสตร์ "ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร" ชี้ต้นตอปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวเริ่มมาตั้งแต่ปี 51 ขณะที่ คสช.เข้ามาแก้ปัญหา คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาพิจารณามีความโปร่งใส ยึดประโยชน์ประชาชนสูงสุด ไม่มีเอื้อนายทุน

(10 กันยายน 2563) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อภิปรายในสภาฯเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาของ นายยุทธพงษ์ หรือ โจ้ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กรณีรัฐบาลเตรียมขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กลุ่มบีทีเอส เป็นการเอื้อประโยชน์แก่นายทุน วานนี้(9 กันยายน 2563)ิ ว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีข้อกังขามาหลายครั้งว่าเอื้อนายทุนและมีผลประโยชน์ต่างๆ จึงอยากเรียนให้ทราบว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ เริ่มตั้งแต่โครงสร้างทางกายภาพในส่วนแรก เรียกว่า "สายสีเขียวหลัก" หรือ "สายสีเขียวเข้ม" ซึ่งการดำเนินการในช่วงเริ่มต้นนั้นทางบีทีเอสก่อสร้างโดยใช้งบประมาณของตนเอง เป็นสายเดียวในประเทศไทยที่เอกชนลงทุนเอง รัฐไม่ได้ลงทุนให้ โดยผลประโยชน์ตอบแทนคือค่าโดยสารที่เก็บได้ในช่วงสัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่ปี 2542-2572  ต่อมากรุงเทพมหานคร หรือ กทม.ได้ก่อสร้างเพิ่มเติม เรียกว่า "ส่วนต่อขยาย 1" โดยใช้งบประมาณของ กทม. และขยายสัมปทานให้บีทีเอสเดินรถ เมื่อหมดระยะเวลาสัมปทานในปี 2572 สายสีเขียวเข้มทั้งหมดจะตกเป็นของ กทม. 



โดยปัญหาเริ่มเกิดเมื่อรัฐบาลสมัยปี 2551 ได้ไปมอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ไปสร้างส่วนต่อขยายทางเหนือและทางใต้ หรือ "ส่วนต่อขยาย 2" เรียกว่าสายสีเขียวเหนือกับสีเขียวใต้ แต่ก็มีปัญหาขาดทุน ต้องจ้างเดินรถ และมีภาระหนี้กว่า 7 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจึงโอนโครงสร้างทั้งหมดของ รฟม.ไปให้ กทม.ดำเนินการ ซึ่งก็ทำให้มีปัญหาตั้งแต่แรกเช่นกัน คือประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงถึง 158 บาท และต้องเสียค่าแรกเข้า หากเดินทางข้ามส่วนต่อขยายจะต้องเปลี่ยนรถหลายครั้ง ถ้าไม่เก็บค่าแรกเข้าจากประชาชน ก็ต้องผลักภาระไปให้ กทม. ประกอบกับ กทม.มีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบหลายหมื่นล้าน รวมทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ และการเดินรถ รวมๆ แล้วเป็นแสนล้าน นี่คือปัญหาที่เกิดกับ กทม. จึงมีแนวคิดจะแก้ปัญหาด้วยการร่วมทุน 


หากรัฐบาลจะเข้าไปช่วย หนี้ก็ต้องกลายเป็นหนี้สาธารณะ กลายเป็นภาระของคนไทยทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของ กทม.ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวจาก 7,580 แห่งในประเทศไทย ส่วนการจะไปยกเลิกสัมปทานก็เป็นไปไม่ได้ 

ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เกรงว่าหากปล่อยให้ครบอายุสัญญาสัมปทาน คือปี 2572 การสรรหาเอกชนรายใหม่ต้องใช้เวลา 2-3 ปี และต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น คสช.จึงมีแนวทางดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น จึงออกคำสั่งห้วหน้า คสช.ที่ 3/2562 เรื่องการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้เพื่อแก้ปัญหา โดยไม่ให้รัฐบาล  กทม. และประชาชนมีภาระ รวมทั้งได้รับประโยชน์สูงสุด 


พล.อ.อนุพงษ์ ย้ำว่า ขอให้มั่นใจว่าคณะกรรมการที่เป็นผู้มีอำนาจอยู่ในกระบวนการ และให้มั่นใจว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้ ส่วนการเจรจานั้นอยู่บนพื้นฐานของประชาชนที่จะได้ค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมสามารถเดินทางได้ตลอดสาย ค่าโดยสารทั้งสายไม่เกิน 65 บาท อีกทั้ง กทม.และรัฐบาลไม่มีภาระหนี้สิน รวมถึงผลตอบแทนลงทุนของเอกชนอยู่ในอัตราที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าค่าโดยสารไม่ได้สูงที่สุดในโลกอย่างที่พูดกัน (มีกราฟฟิกมาแสดงว่าราคาค่าโดยสารประเทศอื่นสูงกว่าไทย เช่น สิงคโปร์)

logoline