"ฉาย" ย้ำจุดยืนปกป้องเสาหลักชาติ

(2 กันยายน 2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเสวนาสื่อไทยควรวางตัวอย่างไรในความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ โดยมีตัวแทนจากสำนักข่าวและองค์กรสื่อชั้นนำของประเทศ อาทิ นายฉาย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รวมถึงนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

โดยนายฉาย กล่าวว่า กรณีการแบนเนชั่นทีวี หรือการแบนสปอนเซอร์เนชั่น มองว่าเป็นโซเชียลบูลลี่ ไม่ได้เกิดขึ้นบนชีวิตจริง เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เป็นการคุกคามองค์กร ซึ่งหากเนชั่นทีวีนำเสนอในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็มีกฎหมายหมิ่นประมาทรองรับ สามารถดำเนินคดีได้ทันที

ล่าสุดผลสำรวจของซูปเปอร์โพลจะเห็นได้ชัดว่า มากกว่าร้อยละ 90 คิดว่าการแบนสปอนเซอร์เป็นการคุกคามประชาชน และยังพบว่า บัญชีช่องทางโซเชียลมีเดียกว่า 8 ล้านบัญชี มาจากต่างประเทศ จึงมองว่าไม่ใช่กระแสจริง โดยองค์กรมีหลายกองบรรณาธิการทำงานอย่างอิสระ องค์กรนำเสนอเพื่อประเทศชาติและประชาชน ปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ นี่คือสิ่งที่บริษัทในเครือยึดเป็นหัวใจหลัก

ส่วนการมองว่าเนชั่นทีวีนำเสนอข่าวเเบบเลือกข้างนั้น ยืนยันว่า การนำเสนอข่าวของเนชั่นทีวีเป็นการนำเสนอข้อมูลทั้ง 2 ด้าน อย่างการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา มีการถ่ายทอดสด เปิดพื้นที่ให้ทั้ง 2 ฝ่าย ยอมรับว่าผู้ประกาศมีความแตกต่างกับนักข่าว ซึ่งผู้ประกาศอาจมีการใส่ความเห็นส่วนตัวลงไป แต่จะมีการชี้แจงเสมอว่า เป็นความเห็นของผู้ประกาศส่วนตัวเท่านั้น

"ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ใช่ครั้งแรก การทำหน้าที่ยังคงเหมือนเดิม เหมือนแสงไฟนำทางสังคมในยามที่สังคมมืดมิด หากนำเสนอในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็เหมือนการป้อนอาหารพิษทางสมองและความคิดให้ประชาชน ซึ่งนโยบายขององค์กร เคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จุดยืนของเนชั่นทีวี คือ เคารพในเสาหลักของชาติ สิ่งที่มาทำลายเสาหลักนี้ เป็นหน้าที่ของคนไทยและสื่อมวลชนนั้นต้องปกป้อง" นายฉาย กล่าว

อย่างไรก็ตาม การคุกคามที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ไม่ได้เกิดขึ้นกับเนชั่นเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2549 ก็มีม็อบปิดล้อมตึก ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ตัดสินจำคุก 3 ปี เนชั่นเป็นสื่อที่ทำข่าวตามกระแส ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน แน่นอนว่าในภาวะที่มีความแตกแยกทางความคิด เนชั่นทีวี ไม่ต้องการสุมไฟเพิ่มขึ้นในความขัดแย้งครั้งนี้ ยอมรับว่าองค์กรจะปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์