นายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มีสหรัฐฯ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการประท้วง และต้องการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ผู้นำประเทศเบลารุส หรือก่อให้เกิดความรุนแรง โดยเขาบอกกับสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมาว่า การชุมนุมและเดินขบวนประท้วงยังคงเกิดขึ้นทั้งของฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล แต่เป็นการเคลื่อนไหวโดยสงบ ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นอีก ความเรียบร้อยที่มากขึ้น คงไม่ถูกใจคนบางกลุ่ม ซึ่งหวังให้ความขัดแย้งทางการเมืองของเบลารุสบานปลายเป็นการนองเลือด แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยูเครน
และสิ่งที่นายเซอร์เกลาฟรอฟพูดก็กระจ่างชัดเมื่อทางด้านนายสตีเฟนบีกันรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้เดินทางไปยังลิทัวเนียและได้เข้าพบกับทางด้านนางเวตลานาซิคานุสกายาแกนนำฝ่ายค้านของเบลารุสที่หลบหนีออกนอกประเทศไปยังลิทัวเนีย
หลังจากพบกันแล้วทางด้านนายสตีเฟนบีกันบอกกับสื่อมวลชนว่าจุดยืนของสหรัฐฯต่อสถานการณ์ในเบลารุสเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ลูคาเชนโกยอมรับบทบาทคนกลางขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป(โอเอสซีอี)เพื่อทำการเจรจาจัดสรรอำนาจในประเทศเบลารุสให้เกิดความเหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นชัดยิ่งกว่าชัดว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐฯก็เปิดหน้าว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการประท้วงด้วยการอ้างองค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป(โอเอสซีอี)เข้าไปเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ทางอำนาจซึ่งแน่นอนว่าผลประโยชน์นั้นสหรัฐฯสนับสนุนทางด้านผู้นำฝ่ายค้านของเบลารุสที่กำลังหลบหนีอยู่นอกประเทศและต้องการโค่นล้มประธานาธิบดีคนปัจจุบันของเบลารุสเพราะเขาอยู่ในอำนาจนานเกินไปและที่สำคัญอยู่ข้างเดียวกับรัสเซียไม่เหมือนผู้นำประเทศอื่นๆที่แยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียตเดิมต่างก็เปลี่ยนข้างไปอยู่ฝั่งสหรัฐฯหมดแล้วแต่ทว่าประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ลูคาเชนโกไม่เป็นอย่างนั้นเขายังคงเป็นมิตรที่ดีกับทางด้านประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินผู้นำรัสเซียทำให้สหรัฐฯถึงกับตั้งฉายาให้เขาว่าเผด็จการคนสุดท้ายของยุโรปนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูล :Sathaporn Inter News