นักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง ปราปต์ปฎลสุวรรณบาง ในวัย 51 ปี ออกมาเล่า ประสบการณ์ตรงที่ตนเอง ป่วยเป็นไข้รากสาดใหญ่ซึ่งโดยปรกติภาพที่แฟนๆได้เห็นนั้นปราปต์ปฎล จะเป็นคนสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงลุยๆมาตลอด แต่ด้วยภาระหน้าที่ในด้านการแสดง เป็นเหตุจำต้องบุกป่าฝ่าดงถ่ายละคร 5เรื่องต่อสัปดาห์ ที่โรงถ่ายศาลายา และถ่ายละครที่ป่าหุบเมย จังหวัดนครนายกประสบเจอสารพัดยุง ไร ลิ้น และสภาพป่ารกชื้น ทำให้เจ้าตัวเกิดป่วยเป็นไข้รากสาดใหญ่ จน ต้องเข้าแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเพราะไข้สูงถึง 38.5 ไล่ขึ้นจนถึง 41 มีอาการหนาวสั่นเกร็งกระตุก ปวดไปถึงกระดูก ปากเขียว อาเจียนหมดไส้หมดพุงเท้ามือตัวเหลืองซีด เริ่มเพ้อพูดจาไม่รู้เรื่องจนหมอต้องสั่งยาลดไข้ชนิดรุนแรงแบบฉีดเข้าเส้นให้ซึ่งเป็นการแอดมิดโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิตของปราปต์ปฎล
และล่าสุดผลตรวจเลือดจากการรักษาโรคไข้รากสาดใหญ่(สครัปไทฟัส) ผลเลือดจาการเช็คค่าตับที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ผลออกมาค่าตับกลับมาสู่ภาวะปกติ ไข้รากสาดหายขาดแล้วแต่คำแนะนำคือยังสามารถกลับมาเป็นได้เสมอ และเมื่อต้องเข้าไปทำงานในสถานที่เสี่ยงคือป่ารกชื้นแบบนี้ ย่อมเสี่ยงเสมอทั้งไข้เลือดออก มาลาเรีย และสครัปไทฟัสตัวนี้..
.โดย ปราปต์ปฎลสุวรรณบาง ได้โพสต์บอกเล่าประประสบการณ์ที่ตนเองป่วยไว้ในเฟซบุ๊กโดยระบุข้อความว่า
.โพสต์นี้เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่านนะครับถือเป็นกรณีตัวอย่าง อาจจะยาวหน่อย..ไม่ต้องตกใจนะครับตอนนี้ออกจากรพ.กลับมาบ้านเรียบร้อยแล้ว... ผมจะเล่าไทม์ไลน์คร่าวๆ นะครับ...วันที่ 8 สิงหาคมผมไปรับรางวัลกินรีทองที่ ททบ.5 กลับมารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวรีบอาบน้ำกินยาลดไข้แล้วเข้านอน นอนไม่ค่อยหลับไข้ขึ้นหนาว ปวดเนื้อตัว กินยาทุก 4ชม.ยาออกฤทธิ์ก็บรรเทาระดับนึง พอครบ 4 ชม.ไข้ขึ้นหนาว ปวดตัวสลับแบบนี้
.เช้าวันที่ 9ตื่นนอนพอทรงตัวก็อาบน้ำไปร่วมทำบุญที่โคลีเซียมไปอยู่ได้ประมาณชั่วโมงอาการเดิมหมุนเวียนมาหาคราวนี้มีกลืนน้ำลายเจ็บคอเพิ่มมา ไม่ทันอยู่ในพิธีทำบุญต้องรีบขับรถยนต์กลับที่พักตอนนำรถจอดขับรถถอยเข้าซองเบียดเสาคอนโดกระจกเกือบหักซึ่งเหมือนสมรรถนะเราเริ่มแปลกๆ กลับขึ้นไปนอน ต้มข้าวต้มใส่เกลือกินยานอนอย่างอื่นเหม็นกินไม่ได้"
"วันนั้นจนถึงกลางคืนพยายามอดทนฝืนนอนด้วยอาการวนเวียนไข้ขึ้นหนาวสั่น ปวดตัวจนเริ่มเข้ากระดูก สายๆ ประมาณ 10โมงรู้สึกว่าพอไหวแต่มั่นใจว่าอาการไม่ปกติล่ะเลยรีบประคองตัวขับรถไป รพ.สติยังมีแต่สมองสั่งการทุกอวัยวะรู้สึกเลยว่าไม่ปกติฝืนจนถึงที่จอดรถและเดินโงนเงนจนถึงจุดลงทะเบียนคนไข้พบแพทย์เจาะเลือดแอดมิททันที"
.หมอสันนิษฐานเบื้องต้นจากอาการและประวัติย้อนหลังภายในสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นไข้เลือดออกที่กำลังระบาดหนัก(วันที่ 2 สิงหา ถ่ายละครที่กันตนา ศาลายา บ่ายถึงดึกยุงเยอะมากโดนกัดกระจายวันที่ 5 สิงหาถ่ายที่ป่าหุบเมย นครนายก สารพัดเลย ยุง ไร ลิ้น เป็นป่ารกชื้นถ่ายตั้งแต่เช้ายัน 3-4 ทุ่มทั้งสองวันมีฝนตกสลับทั้งวันทั้งคืน)หมอเลยค่อนข้างมั่นใจว่าไข้เลือดออกเพียงแต่ผื่นอาจจะยังไม่ขึ้น
.ตอนพบแพทย์ไข้38.5 ได้ห้องที่ รพ.ตอนเที่ยงๆ หมอบอกรอผลเลือดประมาณ 2 ชม.ระหว่างรอก็ให้ยาฆ่าเชื้อพร้อมกับน้ำเกลือ และยาลดไข้ชนิดเม็ดตลอดเวลาจากนั้นประมาณ 5-6 ชม. อาการหนักขึ้นสุดๆ ไข้ไต่ระดับจาก 38.5ไล่ขึ้นจนถึง 41 หนาวสั่นเกร็งกระตุก ปากเขียว เท้ามือตัวเหลืองซีดเพ้อพูดจาไม่รู้เรื่องห่มผ้าซ้อน 6 ผืนเอาไม่อยู่ยากินลดไข้ไม่อยู่คอเริ่มตีบกลืนน้ำลายเจ็บมากจนหมอต้องสั่งยาลดไข้ชนิดรุนแรงแบบฉีดเข้าเส้น
.และให้พยาบาลใช้ผ้าชุบน้ำชุ่มๆ เช็ดตัวอยู่นานเป็นการหนาวสั่นแบบสุดชีวิตปวดตัวเข้ากระดูกปากสั่นฟันกระทบกันแบบมาราธอน 5-6 ชม.จนประมาณทุ่มนึงไข้ลด อาการดีขึ้น สติเริ่มกลับมาแต่ยังเวียนหัวมีอาเจียนออกมาหนึ่งครั้งหมดไส้หมดพุง ประมาณ 2 ทุ่มแพทย์เวรมาแจ้งว่าผลเลือดไม่เป็นไข้เลือดออกสันนิษฐานว่าคงจะได้รับไวรัสตัวใดตัวหนึ่งมาทำให้ไข้ขึ้นสูง"
.หลังจากได้ยาเข็มนั้นลดไข้ไปลดลงมาปกติเป็น 36 กว่าๆ ตลอดจนออกจาก รพ. เช้าวันที่ 11 สิงหาหมอเจ้าของไข้มาแจ้งว่าไม่เป็นไข้เลือดออก พูดเหมือนคนแรกก็ใหรักษาตามอาการถ้าไม่มีอะไรไวรัสตัวนี้มันจะหายไปเองถ้ารักษาทัน ภายใน 3-4วันจากที่เกิดอาการ
.เราก็แบบเอ้อ...หมอครับในชีวิตผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ผมคิดว่ามันไม่น่าจบง่ายแบบนี้งั้นเพื่อเป็นการไม่เหวี่ยงแห เรามาเจาะเลือดแล้วตรวจอีกรอบดีมั้ยครับมีโรคอะไรที่มันจะเกิดจากการเข้าป่าแล้วทำให้เกิดอาการแบบนี้บ้างเรามาหาสาเหตุให้เจอคำตอบเถอะครับว่าใช่ มาลาเรียมั้ย หรือฉี่หนูบลาๆๆๆ...หมอตกลงตามนั้นเจาะเลือดไปตรวจและนอนดูอาการอีกหนึ่งคืน"
.ช่วงบ่ายแก่ๆวันนั้นหมอมาแจ้งว่าพบล่ะ ไม่ใช่มาลาเรีย แต่เป็นไข้รากสาดใหญ่ (โรคสครับไทฟัส)ที่เป็นเชื้อผสมทั้งไวรัสและแบคทีเรียมีตัวไรอ่อนในป่ารกชื้น ทุ่งหญ้าเป็นพาหะถ้าไม่ทันถึงมือหมอก็อันตรายถึงชีวิตเท่าที่เช็คค่าตับผมคือมีขยายไปกินเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับน่าวิตกถ้ายาที่ให้กดมันอยู่
.หมอให้ยาฆ่าเชื้อกลับมากินและระหว่างนี้วิธีที่ดีที่สุดคือการสังเกตุอาการตัวเองถ้ามีอาการเดิมรีบกลับมาถ้าปกติก็อีก 7วันให้กลับไปเจาะเลือดตรวจอีกรอบเพื่อความชัวร์ตรงจุดที่มันละเมิดพื้นที่ไปตรงตับเล็กน้อยว่าตอนนั้นจะเป็นยังไง...ตอนนี้ก็พักฟื้นครับ...อีก7 วันรู้ผลจะมารายงานครับ...ขอบคุณที่อ่านจนจบทั้งสองสเตตัสหวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ รายละเอียดโรคตัวนี้เช็คกูลเกิ้ลได้เลยละเอียดยิบ..ขอบคุณทุกความห่วงใยครับ"