นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยความก้าวหน้าของการวิจัยวัคซีน โดยพบว่าขณะนี้มีวัคซีนที่ยังอยู่ในระยะการทดลองทั้งหมดกว่า 180 วัคซีน และเข้าสู่การทดสอบในมนุษย์ประมาณ 135 วัคซีน และมีวัคซีนที่เริ่มทดสอบในมนุษย์แล้วประมาณ 38 วัคซีน แบ่งเป็น ระยะที่ 1 จำนวน 18 วัคซีน ทดสอบในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวนน้อยคือ ไม่เกิน 100 ราย
ระยะที่ 2 จำนวน 12 วัคซีน เมื่อผ่านการทดสอบระยะที่ 1 แล้ว จะนำมาทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรง มีจำนวนที่มากขึ้น ที่มีความหลากหลาย เช่น อายุกว้างขึ้น สัดส่วนทางเพศ หรือเชื้อชาติต่างกัน ศึกษาเพื่อดูว่าวัคซีนมีความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและปลอดภัยหรือไม่
ระยะที่ 3 จำนวน 7 วัคซีน เช่น การทดสอบในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด เป็นต้น ซึ่งนำวัคซีนระยะที่ 2 มาทดสอบว่า วัคซีนป้องกันโรคได้หรือไม่ ด้วยการนำวัคซีนฉีดให้กับกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดี และมีวัคซีนหลอกฉีดให้กับบางราย เพื่อดูความแตกต่างในการป้องกันโรค ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสามารถป้องกันโรคได้ในระยะ 6 เดือน หากทำได้ทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาจะจดทะเบียนให้
ทั้งนี้ใช้วัคซีนในวงจำกัด จำนวน 1 วัคซีน มาจากประเทศจีน โดยผ่านการวิจัยในระยะที่ 1 และ 2 เท่านั้น ยังไม่ได้เข้าระยะที่ 3 เพื่อพิสูจน์ว่าจะใช้ได้จริงหรือไม่ แต่ทางการจีนอนุมัติให้ใช้ในกองทัพทหารของจีนได้ คาดว่าจะมีวัคซีนใช้เร็วที่สุดคือ 6 เดือนนับจากนี้ โดยจะเป็นวัคซีนระยะที่ 3 จะมีวัคซีนตัวใดตัวหนึ่งใน 7 วัคซีนที่จะนำมาใช้ได้
นพ.ธนรักษ์ บอกว่า สธ.มีความพยายามอย่างเต็มที่ทั้งสนับสนุนการวิจัยและเตรียมจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด ในระหว่างที่รอวัคซีนสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือ เตรียมความพร้อมทั้งระดับบุคคล องค์กร และ ชุมชน เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ โดยจะต้องเตรียมความพร้อมและไม่ตื่นตระหนักมากเกินไปหากพบผู้ติดเชื้อใหม่อีกครั้ง
" คิดว่า 6 เดือนนับจากนี้ประเทศไทยอาจจะมีวัคซีนที่ใช้รักษาโควิด-19 โดยช่วงนี้อยากให้ประชาชน รับฟังข้อมูลข่าวสาร จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และขอให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง / เว้นระยะห่างจากคนรอบข้าง / ลดการไปพื้นที่เสี่ยงหรือแออัด / หมั่นล้างมือบ่อยๆเพื่อป้องกันตนเองจากโควิด-19 " รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว