svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

"บิ๊กตำรวจ" แจงเชือด วินัย-อาญา "วิระชัย"

10 สิงหาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จเรตำรวจแห่งชาติ แจงละเอียดยิบขั้นตอนดำเนินการทางวินัย-อาญา "พล.ต.อ. วิระชัย ทรงเมตตา" เผยทำไปตามขั้นตอน ไม่มีการเร่งรัดและกลั่นแกล้ง เผยผบ.ตร.สั่งชี้แจงข้อเท็จจริงสื่อมวลชน หลังเสนอข่าวคลาดเคลื่อน ส่วนเรื่องเจ้าตัวร้องขอความเป็นธรรม ส่งเรื่องไปยังสำนักงานก.ตร. ก่อนส่งเข้าประธานคณะอนุกรรมการแล้ว

ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 10 สิงหาคม พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพล.ต.ท.สมหมาย พัชรอินโต ผบช.กมค. พล.ต.ท.นิทัศน์ ลิ้มศิริพันธ์ ผบช.ก.ตร.พล.ต.ต.อนุชา รมยะนันท์ รอง ผบช.สกพ. และพล.ต.ต.นพพร ศุภพัฒน์ ผบก.กองวินัย แถลงชี้แจงถึงกระบวนการขั้นตอนการดำเนินการทางวินัยและอาญา กรณีคลิปเสียงการสนทนาของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สำรองราชการ ตร.   

"บิ๊กตำรวจ" แจงเชือด วินัย-อาญา "วิระชัย"

     พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาสรุปขั้นตอนการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวกับพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สืบเนื่องจาก 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการดำเนินในส่วนของพล.ต.อ.วิระชัยมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง และเพื่อให้ข้อเท็จจริงชัดเจน ให้สื่อมวลชนได้ชี้แจงกับประชาชนให้ถูกต้อง จึงขอสรุปสั้นๆ เกี่ยวกับรายละเอียดการดำเนินการตั้งแต่ต้นทางวินัยในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มตั้งแต่เหตุการณ์ วันที่ 6 มกราคม 2563 เหตุยิงรถยนต์ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และในวันที่ 9 มกราคม 2563 ที่มีการเผยแพร่คลิปเสียงผ่านสื่อมวลชน จากนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 และเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ให้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา ไปปฎิบัติราชการที่สำนักนายก ตามเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
 หลังจากที่มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงจนถึงวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 เป็นเวลา 6 เดือน ก่อนที่จะมีการรายงานผลตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านกองวินัย โดยมติเอกฉันท์สรุปได้ว่า แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือการดำเนินการทางวินัย และการดำเนินการทางอาญา ส่วนการดำเนินการทางวินัยตามวินัยมีมูลเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา กระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ส่วนการดำเนินการทางอาญา มีมูลรับฟังได้ว่าเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 74 และประกาศคปค. ฉบับที่ 21 เรื่องการห้ามดักฟังทางโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารอื่นใด และในความเห็นนั้นเสนอให้กองวินัย และสำนักงานกฎหมายและคดีดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ได้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร จตช. ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว เห็นว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่ากระทำความผิดวินัยร้ายแรง และเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 สำนักงานกฎหมายและคดี รายงานผลการดำเนินการจัดทำคำกล่าวโทษและส่งให้ผบช.ก. ดำเนินการไปตามกฎหมายตามอำนาจและหน้าที่เนื่องจากบก.ป. เป็นหน่วยงานสอบสวนในสังกัดบช.ก. มีอำนาจสอบสวนทั่วราชอาณาจักร ปัจจุบันได้รับคำร้องทุกข์แล้ว

วันที่ 21 กรกฎาคม 2563 สำนักงานกำลังพลได้ทำหนังสือเสนอผบ.ตร. ว่ากรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้เสร็จสิ้นแล้วเห็นควรพิจาณาสั่งการให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับมาปฏิบัติราชการที่ตร. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและเพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชากำกับดูแลการปฏิบัติราชการตามกฎหมายระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ต่อมาวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทำหนังสือเสนอนายกรัฐมนตรี ระบุว่าการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้น เห็นควรสั่งการให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับมาปฏิบัติราชการที่ตร.ต่อไป   

"บิ๊กตำรวจ" แจงเชือด วินัย-อาญา "วิระชัย"

   
ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี อ้างถึงคำสั่งให้พล.ต.อ.วิระชัยไปปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริง โปร่งใส น่าเชื่อถือ ตามเสนอของตร. บัดนี้การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วจึงให้พล.ต.อ.วิระชัย กลับไปดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร. กลับไปปฏิบัติราชการที่ตร. ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2563

พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า ต่อมาวันที่ 24 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการ ตร. มีคำสั่งสำรองราชการที่ 387/2563 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจสำรองราชการ วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติลงนามในคำสั่งสำรองราชการ เป็นการเสนอของสกพ. เพื่อให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใช้ดุลพินิจสั่งการตามอำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมในการดำเนินการทางวินัยและอาญา เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการในภาพรวมของตร.

พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมดข้างต้นเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้บังคับบัญชา เมื่อได้รับรายงานจากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าเป็นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและกองวินัยได้ให้ความเห็นพ้องด้วยกับคณะกรรมการตรวจสอบประกอบกับทางอาญาพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แล้วในกรณีการกล่าวโทษว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดต่อรัฐ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายจึงต้องดำเนินการตามขั้นตอน และไม่สามารถดำเนินการโดยใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น นอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ จะเห็นได้ว่าการดำเนินการและการสั่งการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นการกระทำในหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ซึ่งได้ดำเนินการไปตามลำดับขั้นตอน โดยมีความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับการพิจารณาสั่งการด้วยเสมอ รวมระยะเวลานับตั้งแต่ที่คณะกรรมการรายงาน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 10 กรกฎาคม 2563 จนถึงการออกคำสั่งสำรองราชการ 29 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 20 วัน เป็นระยะเวลาในการดำเนินเนินงานทางธุรการตามปกติไม่ได้เป็นการเร่งรัดหรือตระเตรียมการไว้ แต่อย่างใด

พล.ต.อ.ชนสิษฏ์ กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ให้มาชี้แจงเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมดที่ผ่านมา ทั้งวินัยและอาญา เกี่ยวกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา สำรองราชการ ตร. โดยยืนยันว่าทำตามขั้นตอน ไม่ได้เร่งรัดดำเนินการ ตั้งแต่ตนทำเรื่องเสนอ ผบ.ตร. จนจบกระบวนการสำรองราชการ ใช้เวลาประมาณ 20 วัน ไม่ใช่เพิ่งทำ และหากไม่พบความผิด พล.ต.อ.วิระชัย สามารถกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดังเดิม แต่ส่วนตัวปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าพล.ต.อ.วิระชัย ยังมีสิทธิ์ ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้อีกหรือไม่  
   

"บิ๊กตำรวจ" แจงเชือด วินัย-อาญา "วิระชัย"

 
   ทางด้าน พล.ต.ท.นิทัศน์ กล่าววถึง กรณีที่ พล.ต.อ.วิระชัย ร้องขอความเป็นธรรม คือ คำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ได้มีการร้องทุกข์ และคัดค้านคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน และร้องทุกข์และอุทธรณ์คำสั่งของ ผบ.ตร. ที่สั่งให้สำรองราชการ ทั้งสองส่วนเรื่องถูกส่งไปที่สำนักงาน ก.ตร. ในฐานะเป็นเลขานุการ ก.ตร. ซึ่งสำนักงาน ก.ตร. ต้องส่งเรื่องให้ประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ซึ่งมี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน นำเข้าสู่การพิจารณากับคณะอนุกรรมการ เมื่อพิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องจะเข้าสู่ ก.ตร. อีกครั้ง

logoline