เริ่มจากปี2555 เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงศีรษะบุรุษพยาบาลโรงพยาบาลเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เสียชีวิตคาห้องฉุกเฉินเพราะไม่พอใจที่พาภรรยามารักษา แต่บุรุษพยาบาลถามมาก ไม่ยอมเริ่มรักษาจึงชักปืนจ่อยิงจนเสียชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมไม่มีเครื่องตรวจอาวุธก่อนเข้าโรงพยาบาล
ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์2558 เหตุการณ์ยกพวกตีกัน โรงพยาบาลสิริธรกรุงเทพมหานคร / ถัดมาในเดือนมีนาคม ปี 2559เหตุบุกทำร้ายคู่อริ โรงพยาบาลราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร
และปี2562 เกิดเหตุต่อเนื่องกันถึง 3ครั้ง คือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เกิดเหตุบุกทำร้ายคู่อริ โรงพยาบาลกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี / เดือนเมษายน 2562ยกพวกตีกันในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลบางสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และเหตุบุกทำร้ายคู่อริในโรงพยาบาลประทาย จังหวัดนครราชสีมา
จากนั้นอีกไม่ถึงเดือน/ ช่วงเดือนพฤษภาคม เกิดขึ้นถึง 2เหตุการณ์ คือ ที่โรงพยาบาลเหล่าเสือโก้ก จังหวัดอุบลราชธานีและโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา จังหวัดยโสธรจนล่าสุดที่โรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ
แบ่งเป็นการทะเลาะวิวาท 29 เหตุการณ์ / ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 22 เหตุการณ์ / ทำลายทรัพย์สิน 4 เหตุการณ์ /ก่อความไม่สงบ 1 เหตุการณ์ / กระโดดตึก 6 เหตุการณ์ / พนักงานเปลทะเลาะกับผู้ป่วย 1เหตุการณ์ และญาติคนไข้ลวนลามผู้ป่วย 1 เหตุการณ์
ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 15 ราย ขณะที่ประชาชนเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 58 ราย
ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องหันกลับมามองว่าเราควรจะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับมาตรการ 7 ข้อ สำหรับป้องกันเหตุรุนแรงในโรงพยาบาลอีก
แม้กระทรวงสาธารณสุขจะได้ออกมาตรการ 7 ข้อสำหรับป้องกันเหตุรุนแรงในโรงพยาบาล ซึ่งมาตรการหลักก็คือ การให้เพิ่มเติม "ประตูนิรภัย" แบบล็อคได้ทันทีและสื่อสารกับญาติผู้ป่วยเป็นระยะเพื่อลดความกังวล แต่ก็ดูเหมือนมาตรการ 7 ข้อนี้ ยังไม่มีการดำเนินใช้ตามสถานโรงพยาบาลอย่างแท้จริง
ซึ่งการสร้างความเข้าใจต่อประชาชนในเรื่อง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะในส่วนของภาครัฐในการดำเนินการมาตรการทั้ง 7 ข้อได้มีการดำเนินอย่างเต็มที่แล้วซึ่งก็ต้องขอความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนได้เห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ในห้องฉุกเฉินด้วย
มาตรการดูแลห้องฉุกเฉินและโรงพยาบาลมี 7 ข้อ ดังนี้
1.ทำแนวทางปฏิบัติป้องกันและจัดการความรุนแรง ทบทวน ฝึกซ้อมและปรับปรุงเป็นประจำ
2.จัดระบบควบคุมประตู หรือมีทางเข้า-ออก ที่ปลอดภัยหลายช่องทาง
3.จัดสถานที่พักคอยสำหรับญาติ จำกัดการเข้าออก
4.ตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้พร้อมใช้งาน และติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง
5.จัดระบบคัดกรองโดยเฉพาะผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน และจัดบริการให้เหมาะสมกับความเร่งด่วน รวมทั้งให้สื่อสารกับญาติผู้ป่วยเป็นระยะ เพื่อลดความวิตกกังวล
6.จัดเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
7.จัดหาสัญญาณเตือนภัย หรืออุปกรณ์ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน และมีช่องทางแจ้งเหตุด่วนกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเครือข่ายอาสาสมัคร มูลนิธิต่างๆ ในพื้นที่