คดีน้องชมพู่ "นิติวิทย์ปิดไม่ลง"

สิ่งที่จะคลี่คลายคดีได้คือ "พยานหลักฐาน" ที่ทุกคนต่างหวังว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะช่วยไขคดีนี้ได้
"เนชั่นทีวี" สอบถามความเห็นกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคลี่คลายคดีใหญ่ๆ แทบทุกคดี แพทย์รายนี้ให้ความเห็นว่า ระยะเวลาหลังเกิดเหตุและข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเปิดเผยตามสื่อนั้น ขณะนี้เหมือนกับว่าเป็นการ "กวนน้ำให้ขุ่น" ไปแล้ว ทำให้คดีนี้อาจจะถึงจุดที่ต้อง "ค้างคดี" เอาไว้ เหตุผลเป็นเพราะหลักฐานที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะฟันธงว่าน้องชมพู่เสียชีวิตเอง หรือมีคนทำให้เสียชีวิต

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขยายความถึงข้อจำกัดด้านนิติวิทยาศาสตร์ในคดีนี้ว่า ด้วยความที่ระยะเวลาที่พบศพหลังจากเสียชีวิต จนมาถึงขั้นตอนการผ่าชันสูตรห่างกันค่อนข้างมาก ทำให้ร่องรอยต่างๆ อาจถูกบดบัง พูดง่ายๆ ก็คือตอนที่พบศพ ร่างไม่สดแล้ว สภาพผิวหนัง เนื้อเยื่อต่างๆ ถูกเปลี่ยนสภาพจากธรรมชาติ ทำให้ยากต่อการลงความเห็น แม้จะมีข้อมูลว่าแพทย์ผู้ชันสูตรคนแรกไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้าย แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ก็อาจถูกความเน่าบดบังเอาไว้ นี่คืออุปสรรคใหญ่


สำหรับกรณีทั่วไป การถูกฆาตกรรมที่ผลชันสูตรไม่พบว่าถูกทำร้ายก็ความเป็นไปได้เช่นกัน เช่น การขาดอากาศหายใจ ถูกเอาหมอนอุดจมูก แบบนี้ก็จะไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย ส่วนการเสียชีวิตเองแบบไม่มีบาดแผลภายใน ก็มีความเป็นไปได้ เช่น อยู่ในที่อับอากาศเป็นเวลานาน อย่างในรถยนต์ หรือไฟช็อตจนเสียชีวิต

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บอกอีกว่า โดยธรรมชาติของเด็กเล็ก มีการต่อสู้ดิ้นรนต่ำอยู่แล้ว เปอร์เซนต์ของคดีจึงให้น้ำหนักทางใดทางหนึ่งยาก และในทางนิติวิทยาศาสตร์การตรวจร่องรอยจากศพนั้น "การตรวจไม่เจออะไรเลย จะไขคดียากกว่าตรวจแล้วเจอร่องรอย" นี่เป็นเหตุผลว่าบทสรุปของคดีนี้ อาจเป็นปริศนาต่อไป เนื่องจากหลักฐานที่มี สาวไปไม่ถึง จนกว่าจะมีหลักฐานหรือพยานแวดล้อมอื่นมาตอบคำถามให้ได้ว่า น้องหายตัวไปคนเดียว มีคนพาไป หรือมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับน้องแล้วร่างของน้องถูกนำไปทิ้งไว้ทีหลัง