นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึง หลักมรณสติทางการเมืองเมื่อวานนี้ ช่วงหนึ่งว่า บางครั้งการทะเลาะเบาะแว้งไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อเห็นสภาพบ้านเมืองที่เปรียบเสมือนคนอยู่ในอาการที่เรียกว่า ระยะสุดท้ายซึ่งแปลว่าความตายอยู่เบื้องหน้าความหายนะอยู่เบื้องหน้าทั้งสิ้นแต่ยังเดินกันอยู่เหมือนเสมือนหนึ่งว่ายังแข็งแรงอยู่"
.
.
."ดังนั้น หากยังคิดกันแบบเดิมไม่มีทางจะพาประเทศไทยไปรอดได้และตนก็ไม่รู้อีกกี่วัน คุกก็จ่อรออยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ ตนได้สอบถามเพื่อนในเรือนจำ ก็เป็นห่วง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ และนายแพทย์เหวง โตจิราการ ไม่รู้เมื่อไหร่เรือนจำจะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะสังขารไม่เอื้ออำนวย"
ทั้งนี้ ตนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนที่มีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกัน มีการยกตัวอย่างกรณีว่า ในประเทศไทยในการพิจารณาคดีความทางการเมืองนั้น ประเทศไทย ไม่มีวิธีพิจารณาความทางการเมือง จึงนำวิธีพิจารณาความทางอาญามาใช้พิจารณาความทางการเมือง ดังนั้น โทษก็จะเป็นโทษทางอาญา
"การต่อสู้ทางการเมืองนั้น ผมยืนยันว่า ไม่ควรจะมีใครต้องติดคุกเเม้แต่วันเดียว เนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองเป็นทัศนคติทางการเมือง แต่สุดท้ายเมื่อไม่มีวิธีพิจารณาความคดีทางการเมือง ก็ไปใช้ประมวลวิธีพิจารณาความทางอาญา
.
นายจตุพร ยังกล่าวถึง เรื่องนิรโทษกรรมในคดีการเมือง ว่า "ตนไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้เพราะเป็นผู้มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องแต่ดูข้อมูลในประเทศไทย พบว่ามีการนิรโทษกรรม 23 ครั้งแบ่งเป็นพระราชบัญญัติ 19 ฉบับ และพระราชกำหนด 4 ฉบับ ตั้งแต่ยุคสมัยคณะราษฎร์ จนถึงฉบับที่ 23"
."ส่วนตัวไม่สามารถพูดได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่ แต่จะบอกว่า โทษถึงตายกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ของประเทศขณะนี้ต้องกลับไปคิดว่า เราจะพกความขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อไปอีกหรือไม่ เพราะประเทศไทยเดินมาถึงจุดที่กำลังจะเกิดวิกฤตสูงสุด" นายจตุพร ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวทิ้งท้าย
.