พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ให้สัมภาษณ์เนชั่นทีวี และโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อเร็วๆ นี้ หลังมีดราม่า กยศ. หรือ กองทุนเงินให้ยืมเพื่อการศึกษา ฟ้องยึดบ้านทรงไทยของลูกหนี้ที่จังหวัดแพร่ เพื่อเอามาชำระหนี้แค่หลักหมื่นบาท
พ.ต.อ.ทวี บอกว่า พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 ถูกแก้ไขใหม่ในปี 2560 เปลี่ยนแปลงหลักคิดและปรัชญาการให้กู้เพื่อการศึกษา เป็นการให้กู้เพื่อมุ่งผลเชิงพาณิชย์และธุรกิจมากขึ้น อาทิ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 7.5 การให้อำนาจนายจ้างดำเนินการหักเงินเดือนจากลูกจ้างที่เป็นหนี้กยศ.ได้เมื่อกองทุนได้แจ้งไป และให้อำนาจ กยศ. เข้าถึงและเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของลูกหนี้ได้ นอกจากนั้นยังให้กองทุน กยศ. มี "บุริมสิทธิ์" คือ หลังจากหักไปจ่ายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และประกันสังคมแล้ว ต้องจ่ายหนี้ กยศ.ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น เป็นต้น
เลขาธิการพรรคประชาชาติ ยังให้ข้อมูลอีกงว่า ผู้ที่กู้เงินจาก กยศ. จะมีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี โดยนับจากปีที่จบการศึกษาหรือเลิกศึกษา และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาปลอดหนี้แล้ว ผู้กู้ต้องผ่อนชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 ปี โดยต้องชำระหนี้ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี ปัจจุบันนี้มีผู้กู้ที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปี 2562 จำนวน 1.5 ล้านราย ทำให้ กองทุน กยศ ต้องใช้จ่ายเงินกองทุนสำหรับว่าจ้างสำนักทนายความฟ้อง และบังคับคดีกับผู้กู้ กยศ แยกเป็น
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี คดีละ 5,500 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 8,250 ล้านบาท- ค่าบริหารจัดการคดีละประมาณ 1,200 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 1,800 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีลูกหนี้อยู่ในชั้นบังคับคดี (คดีฟ้องร้องถึงที่สุดแล้ว) จำนวน 226,310 ราย โดยในชั้นบังคับคดีนี้มีค่าใช้จ่ายประมาณคดีละ 8,750 บาท รวมเป็นจำนวนเงินประมาณ 1,980 ล้านบาท แต่กลับพบว่าได้มีการยึด-อายัดทรัพย์แล้ว จำนวนเพียง 59,642 คดี รวมเงินต้นประมาณ 6,815 ล้านบาทเศษ แต่กรมบังคับคดีได้ยึดทรัพย์และมีทรัพย์ขายทอดตลาดจริงเพียง 2,657 คดี คิดเป็นจำนวนเงินที่ได้คืนมาเพียง 218 ล้านบาทเท่านั้น เสียทั้งเวลา เสียค่าใช้จ่ายมากมายขนาดนี้ แต่กลับได้เงินคืนมาเพียงเท่านี้ ถือว่า "ได้ไม่คุ้มเสีย"
ซ้ำร้ายมหันตภัยยังเกิดกับผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ที่แพ้คดีแพ่ง นั่นก็คือการ "ถูกบังคับคดี ขายทอดตลาด ยึด-อายัดทรัพย์" ในกรณีลูกหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันแต่ไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็สามารถยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้อีก โดยเจ้าหนี้อาศัยเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดทรัพย์สินที่ส่วนใหญ่เป็นที่ดิน หรือบ้าน บ่อยครั้งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่าเกินกว่าจำนวนหนี้ที่ลูกหนี้ติดอยู่มาก โดยเจ้าหนี้มักจะอ้างว่าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องยึดบ้านยึดที่ดิน ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่อาจห้ามการยึดได้
การที่กองทุน กยศ. ได้จ่ายค่าจ้างสำนักทนายความในการติดตามทวงหนี้ ฟ้องคดี บังคับคดีและบริหารจัดการที่ใช้เงินกองทุนจำนวนมาก ทำให้ภกองทุน กยศ. ทำตัวเหมือนการทำธุรกิจที่ต้องการประโยชน์หรือมุ่งเน้นการสร้างกำไรจากการประกอบการ ทั้งที่เป็นเงินในกองทุน กยศ.มาจากภาษีอากรของประชาชน การที่นักเรียน นักศึกษากู้เงิน กยศ. เพื่อไปใช้การศึกษาจึงควรจัดเป็นสิทธิและสวัสดิการของบุคคลทุกคน
การที่กองทุน กยศ ไปจ้างสำนักทนายความฟ้องและบังคับคดีกับผู้กู้ เป็นการแสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ทั้งๆ ที่กองทุน กยศ.สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่ประหยัดเงินมากกว่า เช่น การขอให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการให้ ซึ่งสามารถกระทำได้ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 14 (5) วิธีการนี้จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความให้ดำเนินคดีได้นับพันล้านบาท
พ.ต.อ.ทวี บอกทิ้งท้ายว่า จากวิกฤติโควิด-19 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ได้ออกรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2563 ระบุอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.03 มีผู้ว่างงานเกือบ 4 แสนคน และคาดว่าในปีนี้มีแรงงานที่เสี่ยงถูกเลิกจ้าง 8.4 ล้านคน ขณะที่เด็กจบใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน 5.2 แสนคนอาจไม่มีงานทำ ปรากฏการณ์นี้ย่อมส่งผลต่อนักเรียน นักศึกษาที่กู้ยืมเงิน กยศ.ที่จบใหม่และหางานทำไม่ได้ จะได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นเป็นแน่