(30 มิถุนายน 2563) นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่ยุบสภาเพื่อให้ประชาชน เลือก ส.ส. และผู้บริหาร เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจหลังไวรัสโควิด-19ทว่าบริบทกติกาทางการเมืองระหว่างไทยกับสิงคโปร์ต่างกันมาก
ทั้งนี้ ถ้าประเทศไทยจัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใต้กติกาเดิม คือ รัฐธรรมนูญปี 2560, พ.ร.บ.เลือกตั้ง ฯ และ พ.ร.บ.พรรคการเมือง ฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะส่งผลเสียหายตามมาอย่างมากมาย เนื่องจากระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม จะเกิดพรรคเล็ก พรรคน้อยมากมาย ให้ผู้มีอำนาจ ชิม ช้อป ใช้ ได้ตามอำเภอใจ
ขณะเดียวกัน ส.ว.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้เท่านี้ บ้านเมืองก็พินาศจมธรณี เพราะประเทศขาดความเชื่อมั่นไม่มีใครกล้ามาลงทุน มีแต่ย้ายฐานหนีดังที่ผ่านมา อีกทั้งผลงานรัฐบาลในช่วง 6 ปี ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
- นายกฯวอนอย่าดึงวัคซีนมาเกี่ยวข้องกับการเมือง
- "บิ๊กตู่"ย้ำแก้ปัญหาบ่อน-แรงงานผิดกม.ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน
- มั่นใจการทำงาน 2 รมต.ประชาธิปัตย์อยู่บนฐานซื้อสัตย์-สุจริต
อย่างไรก็ตาม ก่อนไวรัสโควิด-19 ระบาด คนจนก็เต็มบ้าน เต็มเมืองถึง14 ล้านคนอยู่แล้ว หลังไวรัสโควิดระบาด คนจนคงล้นเมือง ถ้าไม่ตั้งสติแก้ปัญหาด้วยปัญญาทางแก้เฉพาะหน้าประการแรกก็ คือ รีบส่งสัญญาณไปยัง กมธ.ศึกษาแก้รัฐธรรมนูญ กำหนด time line ที่ชัดเจนในการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นประเทศ
นายชวลิต กล่าวต่อว่า ประการที่สอง หากจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรเลือกรัฐมนตรีที่หน้าตาดี ๆ เข้ามาบริหารงาน คำว่าหน้าตาดี หมายความว่า มีคุณสมบัติดีประการที่สามหลังวิกฤตไวรัสโควิด คาดการณ์กันว่า จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ดังนั้นเงินที่ไปกู้มาเพื่อแก้วิกฤต อาจเป็นเงินก้อนสุดท้าย เพราะการกู้ใกล้เต็มเพดาน
"รัฐบาลควรใช้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ถึงมือประชาชนที่ตกงานมากที่สุด รั่วไหลน้อยที่สุดการเลือกรัฐมนตรีตามข้อสองที่ว่า ต้องหน้าตาดี ๆ จึงสำคัญที่สุด"นายชวลิต กล่าว
ส่วนประการที่สี่ ยามบ้านเมืองมีวิกฤต รัฐบาลต้องสร้างสภาวะที่จะเอื้ออำนวยให้ทุกภาคส่วนร่วมมือ สมัครสมานสามัคคีกัน จึงควรเร่งการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 หมวดปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลได้กำหนดหรือมีนโยบายไว้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง ยามนี้บ้านเมืองมีวิกฤต ไม่ต้องไปศึกษาอะไรอีก งานทางวิชาการมีอยู่มากมาย ดังนั้น ช่วงนี้ต้องเข้าสู่ขั้นการปฏิบัติจริง
"ขอเรียนกลับไปยังเบื้องต้นว่า พรรคเพื่อไทยไม่กลัวการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ขอแต่เพียงกติกาต้องเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งถ้ารัฐบาลมีความจริงใจต่อประเทศชาติและประชาชน ต้องรีบส่งสัญญาณไปยัง กมธ.ศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญให้เร่งดำเนินการให้ทันกับสถานการณ์การแก้ปัญหาของบ้านเมือง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ส่วนการเสนอความเห็นต่อทางออกของบ้านเมืองดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นไปด้วยความสุจริตใจในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง"นายชวลิต ระบุ