โดยในโลกยุคปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีอวกาศพัฒนาไปไกล หลายประเทศส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวที่อยู่ห่างไกลจากโลก รวมถึงการส่งดาวเทียมโคจรรอบโลกเพื่อสำรวจทั้งด้านภูมิกาศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการทหาร หรือระบบโทรคมนาคมต่างๆ ซึ่งขณะนี้โลกของเราได้มีการตั้งภาคีสนธิสัญญาและอนุสัญญาเกี่ยวกับกฎหมายอวกาศ ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นสมาชิกภาคีด้วย โดยประเทศไทยได้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และได้มีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.กิจการอวกาศ โดยได้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ในการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา
ที่สำคัญคือรัฐบาลอาจจะต้องพิจารณาจัดตั้งกองทุนกิจการอวกาศ เพื่อนำมาใช้ในการบำรุงส่งเสริมกิจการด้านอวกาศโดยเฉพาะ และจะเป็นประโยชน์อุตสาหกรรมนิวเอสเคิร์ฟ (New s-curve) ที่กำลังมาแรง ซึ่งประเทศไทยควรที่จะให้ความสำคัญเพื่ออนาคตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง
นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนากิจการอวกาศเชิงพาณิชย์ของประเทศไทย ดังนั้น ไทยจำเป็นจะต้องมี Space Agency ที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในด้านกิจการอวกาศทั้งในและระหว่างประเทศ รวมไปถึงงานด้านความมั่นคงและปลอดภัยด้านกิจการอวกาศ รวมถึงการสร้างกฎเกณฑ์ของประเทศไทยในเรื่องเกี่ยวกับกิจการอวกาศและเทคโนโลยีอวกาศให้สอดคล้องกับข้อบังคับระหว่างประเทศ รวมทั้งสร้างกระบวนการในการกำกับดูแลกิจการอวกาศของประเทศไทย และดูแลปกป้องผลประโยชน์ต่างๆของประเทศที่มาจากกิจการอวกาศด้วย
"ผมหวังว่า ร่างพ.ร.บ.กิจการอวกาศ ฉบับนี้ จะได้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และส่งต่อให้สภาพิจารณาได้โดยเร็ว เพราะวันนี้หลายประเทศพัฒนาไปไกลมาก มีการส่งยานอวกาศ ดาวเทียม และทำกิจการทางอวกาศอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เฉพาะประเทศในฝั่งตะวันตกเท่านั้น แต่หลายประเทศในเอเชีย ก็มีการพัฒนาในเรื่องนี้อย่างมาก ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการพัฒนาด้านอวกาศ ทั้งการส่งดาวเทียมขึ้นไปหรือการที่เรามีบุคคลาการที่ไปทำงานกับ NASA ดังนั้นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาได้เท่าเทียมกับนานาประเทศ การออกกฎหมายนี้มาบังคับใช้จะทำให้เกิดความเป็นรูปธรรมมากขึ้น" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์