svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

กลุ่ม BBS ตั้งบริษัทลูกลุยงาน'อู่ตะเภา'

05 มิถุนายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กลุ่ม BBS Joint Venture ตั้งบริษัทลูก ทุนจดทะเบียน 4.5 พันล้านบาท ลุยโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งจะเซ็นสัญญาวันที่ 19 มิถุนายนนี้

หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติผลการคัดเลือกโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งกลุ่มกิจการร่วมค้า BBS Joint Venture เป็นผู้ชนะการประมุล โดยตั้งเป้าเซ็นสัญญาร่วมทุนวันที่ 19 มิถุนายนนี้ ล่าสุดกลุ่ม BBS ได้จัดตั้งบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด เพื่อทำหน้าที่นิติบุคลเฉพาะกิจ หรือ SPV ในการเซ็นสัญญาร่วมทุนกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ สกพอ.
โดยเอสพีวีดังกล่าวจดทะเบียนธุรกิจเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยใช้ทุนจดทะเบียน 4,500 ล้านบาท ซึ่ง บมจ.การบินกรุงเทพ มีบทบาทหลักเป็น Lead Firm ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 45% ขณะที่บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ถือหุ้น 35% และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ถือหุ้น 10%
สำหรับรายชื่อกรรมการของเอสพีวีแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มบางกอกแอร์เวย์ส มีนายปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายประดิษฐ์ ทีฆกุล และนายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา 2.กลุ่มบีทีเอส มีนายคีรี กาญจนพาสน์ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา และนายคง ชิ เคือง 3.กลุ่มซิโน-ไทย มีนายภาคภูมิ ศรีชำนิ และนางใจแก้ว เตชะพิชญะ
อย่างไรก็ตาม ก่อนการลงนามสัญญา สกพอ.จะต้องมีเอกสารยินยอมให้ใช้พื้นที่จากกองทัพเรือ 6,500 ไร่ เพราะ สกพอ.ต้องมีหน้าที่ส่งมอบพื้นที่โครงการที่อยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ ซึ่งการส่งมอบพื้นที่จะไม่มีปัญหาเหมือนโครงการรถไฟความเร็วสูง หรือไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน เพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นของกองทัพเรือ
ส่วนงานก่อสร้างของกลุ่ม BBS จะเริ่มต้นหลังจาก สกพอ.ออกหนังสือให้เริ่มทำงาน หรือ NTP ระหว่างนี้กลุ่ม BBS จะจัดทำมาสเตอร์แพลนส่งให้ สกพอ. โดยการก่อสร้างได้เสนอเป็น 4 เฟส เพื่อรองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคน 
โดยเฟสที่ 1 จะรองรับผู้โดยสาร 16 ล้านคน สูงกว่าที่กำหนดในเอกสารการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนที่กำหนดไว้ 12 ล้านคน รวมถึงการก่อสร้างแท็กซี่เวย์ การเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงและการเชื่อมจราจรจากพื้นที่นอกสนามบิน ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างส่วนนี้จะใช้เงินประมาณ 40,000 ล้านบาท
ส่วนเฟส 2 จะเริ่มก่อสร้างเมื่อจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการอยู่ที่ 85% ของอาคารผู้โดยสารที่ก่อสร้างในเฟส 1 และเมื่อพัฒนาถึงเฟส 2 จะทำให้สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคน
เงื่อนไขการเริ่มก่อสร้างขึ้นกับ 2 ส่วน คือ 1.การพิจารณารายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และ 2.การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมประสานงานโครงการไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ให้สอดคล้องเชื่อมโยงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
คณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้จะหารือร่วมกันระหว่าง สกพอ. กลุ่ม BBS และบริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสามสนามบิน จำกัด ซึ่งกลุ่มซีพีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อให้การก่อสร้างของทั้ง 2 โครงการเชื่อมต่อกัน รวมทั้งต้องหาข้อสรุปร่วมกันเรื่องที่ตั้งของสถานีรถไฟความเร็วสูงอู่ตะเภา
สำหรับการจ่ายเงินผลตอบแทนให้รัฐ ซึ่งกลุ่ม BBS เสนอผลตอบแทนที่คำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบัน 305,555 ล้านบาท โดยต้องจ่ายผลตอบแทนให้รัฐรายปี แล้วแต่จำนวนใดสูงกว่า ระหว่างจำนวนเงินประกันผลตอบแทนค่าเช่าและส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำ โดยเริ่มจ่ายปีที่ 3 นับจากได้รับหนังสือให้เริ่มทำงาน และร่ายจ่ายที่ 100 ล้านบาท จนถึงปีที่ 50 ที่ 84,000 ล้านบาท
ขณะที่ สกพอ. กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมความพร้อมเรื่องแผนงานและการจัดเตรียมงบประมาณ สำหรับโครงการและกิจกรรมสำคัญ 9 เรื่อง คือ 1.การก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และการจัดทำรายงานผลกระทบทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หรือ EHIA  2.การก่อสร้างทางเชื่อมโครงข่ายทางถนนสุขุมวิทและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 3.การดำเนินการด้านอุตุนิยมวิทยาการบิน 4.การกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุเขตส่งเสริมเมืองการบิน 5.การทำข้อตกลงการใช้ประโยชน์สนามบินอู่ตะเภาทั้งหมดร่วมกัน 6.การก่อสร้างหอบังคับการบินแห่งใหม่ 7.การจัดหาผู้ประกอบการสาธารณูปโภค 8.การรื้อย้ายศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาของบมจ.การบินไทย และ 9.การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาต
ในระหว่างรอผลการพิจารณารายงาน EHIA กองทัพเรือจะดำเนินกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้างเพื่อก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 และแท็กซี่เวย์ และจะร่วมกับ สกพอ. เร่งจัดทำรายงาน EHIA เสนอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป

logoline