svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

เปิดข้อบังคับพปชร. ซิวเก้าอี้หัวหน้าพรรค...ไม่ง่าย

01 มิถุนายน 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐแสดงเจตจำนงลาออก จำนวน 18 คนจากทั้งหมด 34 คน ซึ่งถือว่าเกินครึ่งนั้น ผลที่จะเกิดตามมาไม่ได้มีแค่กรรมการบริหารพรรคเป็นอันสิ้นสภาพยกชุดเท่านั้น แต่ยังมีขั้นตอนตามกฎหมายพรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นอีก นั่นก็คือการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งเมื่อเปิดดูข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ต้องบอกว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ

ข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนมกราคม 2562 มีประเด็นเกี่ยวกับการพ้นตำแหน่งของกรรมการบริหารพรรค และการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เอาไว้แบบนี้
- การลาออกของกรรมการบริหารพรรคเกินครึ่งหนึ่ง เข้าข้อบังคับพรรค ข้อ 15 (3) กรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อกรรมการบริหารพรรคว่างลงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการบริหารพรรคท้งหมด
- ขั้นตอนหลังจากนี้ ให้จัดการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายใน 45 วัน นับตั้งแต่วันที่กรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ให้กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับพรรคข้อ 15 เช่นกัน
- การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิกพรรค นายทะเบียนสมาชิกพรรค และกรรมการบริหารอื่นของพรรคการเมือง ต้องดำเนินการโดยที่ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง ตามข้อบังคับพรรคข้อ 40

เปิดข้อบังคับพปชร. ซิวเก้าอี้หัวหน้าพรรค...ไม่ง่าย

- องค์ประชุมใหญ่พรรคการเมือง เป็นไปตามข้อบังคับพรรคมาตรา 37 ประกอบด้วย
1. กรรมการบริหารพรรคไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด (ชุดที่รักษาการ)
2. ผู้แทนของสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสาขาพรรคการเมือง ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องประกอบด้วยผู้แทนของสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 2 สาขาซึ่งมาจากต่างภาคกัน
3. ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
4. สมาชิกพรรคการเมือง
องค์ประชุมใหญ่ของพรรคการเมือง ต้องรวมกันทั้งหมดไม่น้อยกว่า 250 คน การลงมติให้ถือเสียงข้างมาก

เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อเดือนมกราคม 2562 เขียนล้อมาจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 จึงมีขั้นตอนและรูปแบบการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคแบบพื้นๆ เท่านั้น ไม่มีข้อกำหนดพิเศษซับซ้อนเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีการให้น้ำหนักคะแนนของโหวตเตอร์แตกต่างกัน เช่น ส.ส. 1 เสียง คิดเป็นคะแนนมากกว่า 1 คะแนน เป็นต้น แต่ของพรรคพลังประชารัฐไม่มีข้อกำหนดพิเศษแบบนั้น
จากข้อบังคับพรรคในลักษณะนี้ ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าและอดีตเลขาธิการพรรค ยังมีความหวัง เพราะเสียงส่วนใหญ่ที่ใช้โหวตเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ คือ "สมาชิกพรรค" ซึ่งรวมถึง ส.ส.ด้วย ส่วนกรรมการบริหารพรรคเป็นเพียงเสียงส่วนน้อย (มีแค่ 34 คน ขณะที่ ส.ส.มี 119 คน และสมาชิกอีกจำนวนมาก) ขณะที่ผู้แทนสาขาพรรค และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวังก็มีไม่มากนัก เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคตั้งใหม่ ฉะนั้นเสียงที่จะชี้ขาดคือเสียงสมาชิกพรรค รวมทั้ง ส.ส. จุดนี้เองทำให้เกิดปรากฏการณ์งัดข้อ-ประลองกำลัง ระดม ส.ส.โชว์เพาเวอร์กันเป็นระยะในช่วงที่ผ่านมา

logoline