svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"มาดามเดียร์"วอนรัฐช่วยเอสเอ็มอีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญศก.

30 พฤษภาคม 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"วทันยา วงษ์โอภาสี"หนุนรัฐบาลทุ่มงบช่วย SMEs ซึ่งเป็นรากฝอยและหัวใจสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่ห่วงเงื่อนไขพ.ร.ก.สินเชื่อซอฟท์โลน ทำแบงค์หนักใจไม่กล้าปล่อยกู้ หวั่นก่อให้เกิดหนี้เสีย แนะนโยบายไหนได้ผลสานต่อในงบประจำปี

(30 พฤษภาคม 2563) น.ส. วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวอภิปรายถึงพ.ร.ก. กู้เงิน 3 ฉบับ ว่า ธุรกิจ SME s เปรียบเสมือนรากฝอยของเศรษฐกิจ ที่ยึดโยงจนเป็นรากฐานสำคัญของประเทศ เพราะช่วยสร้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นหัวใจในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสังคม อีกทั้ง ยังเป็นจุดเชื่อมโยงของช่องว่างระหว่างชนชั้นของสังคม เป็นจุดเริ่มต้นของคนตัวเล็กทุกๆคน ที่ต้องเรียนรู้เพื่อเติบใหญ่ ดังนั้น มาตรการสินเชื่อซอฟท์โลนที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินการจึงนับเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ส่วนตัวเข้าใจถึงข้อจำกัดของรัฐบาลและ ธปท. ที่ต้องใช้เงิน เพราะเป็นงบประมาณแผ่นดิน ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด จึงทำให้การออกกฎระเบียบมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติหลายประการ ทำให้ SME ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวในปริมาณน้อย ไม่มากเท่าที่ควร
น.ส.วทันยา กล่าวว่า สาระสำคัญของพ.ร.ก. แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ 1.มาตรการสนับสนุนสินเชื่อซอฟท์โลน 0.01% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์กู้แล้วปล่อยสินเชื่อต่อไปยังผู้ประกอบการรายย่อย ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2% ระยะเวลา 2 ปี เพื่อเป็นเงินทุนฉุกเฉินให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 และช่วยบรรเทาภาระ โดยให้รัฐเป็นผู้รับผิดชอบดอกเบี้ย 6 เดือนแรกแทนผู้ประกอบการ และธนาคารพาณิชย์งดเก็บค่าธรรมเนียมทุกประเภทในการขอสินเชื่อ และ 2.มาตรการชะลอการชำระหนี้โดยให้อำนาจ ธปท. สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจชะลอการชำระหนี้และดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ หรือให้พูดง่ายๆไม่ติดแบล็คลิสต์ในเครดิตบูโร
ทั้งนี้ จากที่สอบถามผู้ประกอบการหลายรายได้รับแจ้งจากธนาคารพาณิชย์ ว่าวงเงินสินเชื่อซอฟท์โลนของ ธปท. นั้น ปิดรับเพราะวงเงินสินเชื่อนั้นเต็มแล้ว แต่ทางธปท.ยืนยันว่า ยังคงมีวงเงินเหลือสามารถกู้ได้อยู่ ก็คงต้องรอติดตามความคืบหน้าในการขอสินเชื่อนั้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่ แต่ในส่วนของผู้ที่ขอสินเชื่อแล้วได้รับการอนุมัติเรียบร้อย พบว่ามีผู้ประกอบการหลายรายมีลักษณะใกล้เคียงกัน คือ มีผลประกอบการดี ในอดีตธุรกิจมีสภาพคล่อง จึงพึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินน้อย เมื่อธุรกิจประสบปัญหาไวรัสโควิด-19ต้องการกู้เงินจากโครงการ

"มาดามเดียร์"วอนรัฐช่วยเอสเอ็มอีซึ่งเป็นหัวใจสำคัญศก.


น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า แต่ด้วยข้อกำหนดของพ.ร.ก. ในมาตรา 9 กำหนดให้ปล่อยสินเชื่อได้ ไม่เกิน 20% ของมูลหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 นั้น หลายรายจึงได้รับเงินกู้ไม่เพียงพอต่อความต้องการเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทดิฉันก็เข้าใจถึงเจตนาของ ธปท ที่ต้องการกำหนดเพดานวงเงินเพื่อให้เงินดังกล่าวถูกนำไปกระจายให้ผู้ประกอบการได้มากที่สุด ซึ่งข้อระมัดระวังเหล่านี้ หลายครั้งเรามักพบว่าในแง่ของการปฏิบัติจริงทำให้เกิดข้อติดขัดที่ทำให้การช่วยเหลือไม่สามารถไปถึงยังมือผู้ที่เดือดร้อนได้อย่างเหมาะสมเพียงพอ"
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมีข้อกังวลในการปฏิบัติ คือ ธนาคารพาณิชย์ อาจยังมีแรงจูงใจไม่เพียงพอ หรือรายรับไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงในอนาคตและในมาตรา 11 ของพ.ร.ก.ยังกำหนดให้กระทรวงการคลัง ช่วยชดเชยเงินกู้ส่วนหนึ่งหากเกิดหนี้เสีย หรือ NPL เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ แต่มาตรา 10 กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ ธปท. โดยมีเงื่อนไขต้องชำระคืนเงินกู้ภายใน 2 ปี พร้อมดอกเบี้ย หนี้เสียที่เกิดขึ้นเมื่อเลยวันครบกำหนดชำระ จะตกเป็นภาระของธนาคารพาณิชย์
"ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจของประเทศและทั่วโลกต้องหยุดชะงักเช่นนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าหลายประเภทธุรกิจ ต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยอีก 1-2 ปีจึงจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมได้ การให้รัฐเป็นผู้ร่วมชดเชยหนี้เสีย จึงไม่อาจคลายความกังวลให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้ SME ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มประเภทที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ปกติถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้สำคัญของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเห็นถึงประโยชน์ในการแบ่งเบาภาระต้นทุนทางการเงิน แต่ในมุมของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นองค์กรประกอบธุรกิจเพื่อแสวงผลกำไรนั้น อาจแตกต่างออกไป เพราะต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าของรายได้ต่อความเสี่ยงของภาระที่อาจตามมาในอนาคต ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ คือ SME เพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ในเวลาที่ต้องการ"ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ระบุ

น.ส.วทันยา กล่าวฝากข้อเสนอแนะคือในอีก 6 เดือนข้างหน้า เมื่อสินเชื่อต่างๆที่ได้รับการผ่อนผันการชำระดอกเบี้ยและการชำระหนี้แล้ว ธปท. รัฐบาลควรหารือกับธนาคารพาณิชย์ และสอบถามความเห็นไปยังผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป เพื่อกำหนดมาตรการที่ชัดเจน รัดกุม ไร้ช่องว่างในการปฏิบัติ หรือให้มีช่องว่างน้อยที่สุดในการเตรียมรับมือ หากยังไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะชำระดอกเบี้ยและสินเชื่อที่มีอยู่ แม้ในปัจจุบันได้มีข้อกำหนดเบื้องต้นจาก ธปท. ห้ามเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ในคราวเดียวกันทีเดียว แต่หลักเกณฑ์นี้ยังไม่เพียงพอในการรองรับปัญหาทั้งหมด
ขณะเดียวกัน เห็นด้วยกับเจตนารมณ์ที่ดีของรัฐบาล และ ธปท. ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่ก็ต้องพึงระวังถึงการใช้งบประมาณของประเทศ ซึ่งจากระเบียบดังกล่าว จะเห็นได้ว่า SME นั้น ยังคงได้รับประโยชน์อยู่น้อย หวังว่าผู้ให้และผู้ปฏิบัติจะพยายามหามาตรการหรือทางช่วยเหลืออื่นๆเพิ่มเติม และในส่วนของเงินกู้จาก พ.ร.ก."เราไม่ทิ้งกัน"ฉบับแรก วงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่จะใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ หากถูกนำมาว่าจ้าง SME เพื่อสามารถดูแลลูกจ้างของตนเองให้เกิดการจ้างงานต่อไป ก็จะเป็นประโยชน์ในการใช้เงินอย่างยิ่ง หากนโยบายไหนที่ถูกนำไปใช้แล้วเป็นประโยชน์ก็ควรได้รับการสานต่อในกรอบงบประมาณประจำปีต่อๆไป เพื่อให้เงิน 4 แสนล้านบาท ที่เปรียบเหมือนหัวเชื้อนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด
"วันนี้ก็เป็นวันที่ 30 พ.ค.ทุกคนในที่นี้ รวมถึงข้าราชการและลูกจ้างบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ เมื่อวานคงจะได้รับเงินเดือนเพื่อไปชำระค่าใช้จ่ายของแต่ละบุคคล แต่ในทางกลับกัน เมื่อวันที่ (29 พ.ค.) คือ วันที่ SME ได้รับผลกระทบร้อนใจมากที่สุดอีกวันหนึ่ง ว่าเขาจะเอาเงินที่ไหนจ่ายเงินเดือนพนักงาน และภาระหนี้ต่างๆ ซึ่งพนักงานเหล่านั้นก็อาจเป็นพ่อ แม่ ของเด็กสักคนหนึ่งที่กำลังรอค่าเทอม ค่ารักษาพยาบาล หรือแม้กระทั่งค่าอาหารสักมื้อ ทุกอย่างล้วนแต่เกี่ยวข้องอยู่ในสังคมไทยอย่างแยกไม่ออก และถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ มองเห็นภาพเหล่านั้นชัดเจนเหมือนกัน เชื่อว่าเราทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือและสนับสนุน SME รวมถึงชีวิตเหล่านั้น"น.ส.วทันยา กล่าว

logoline