การคลายล็อกเฟส 3 ทั้งโรงหนัง ร้านนวด ศูนย์ประชุม ฟิตเนส การเดินทางข้ามจังหวัด และร่นเวลาเคอร์ฟิว แน่นอนว่าย่อมทำให้บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการทำงานของผู้คนคึกคักขึ้น แต่สิ่งที่เกิดตามมาอีกด้านหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงในการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะเห็นชัดว่าเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการทุกครั้ง คนไทยมักจะ "การ์ดตก"
หลักฐานสำคัญของสภาวะ "การ์ดตก" ก็คือ สถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เพิ่มขึ้นทันทีหลังจากรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์
นพ.ธนะพงษ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการความปลอดภัยทางถนน บอกกับ "เนชั่นทีวี" ว่า การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในเดือนเมษายนปี 63 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลใช้มาตรการเข้ม ทั้งล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว เทียบกับเดือนเดียวกันในปี 62 ปรากฏว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วประเทศ ลดลงถึง 50% คือเหลือเพียง 588 ราย เฉลี่ย 19.6 รายต่อวัน
ที่สำคัญ เฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ อุบัติเหตุทางถนนและยอดผู้เสียชีวิตลดลง 56.7%
แต่หลังจากรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม โดยเฉพาะการอนุญาตให้จำหน่ายสุราแบบซื้อกลับ ปรากฏว่าช่วงวันที่ 1-25 พฤษภาคม มียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนมากถึง 805 ราย ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วเพียง 7.58% เฉลี่ยมีผู้เสียชีวิต 32.2 คนต่อวัน ใกล้เคียงกับปี 62มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ แม้จะผ่อนคลายล็อกดาวน์ แต่ยังมีเคอร์ฟิวอยู่ จึงส่งผลต่อรูปแบบความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนในบางมิติ เช่น เมื่อเจาะลงไปที่อายุของกลุ่มผู้เสียชีวิต พบว่าอุบัติเหตุทางถนนจากเมาแล้วขับ เทียบกับปี 62 ลดลงมากในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน อายุระหว่าง 15-39 ปี และลดลงช่วงเวลากลางคืน เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงานปกติจะซื้อหรือดื่มนอกบ้านเป็นหลัก เมื่อห้ามรัฐบาลสั่งปิดสถานบันเทิงและมีเคอร์ฟิว ทำให้การเกิดอุบัติเหตุของคนกลุ่มนี้ลดลงมากส่วนกลุ่มสูงอายุ ปรากฏว่าสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไม่แตกต่างกับปี 62 เพราะส่วนใหญ่สังสรรค์และดื่มที่บ้าน โดยมีเพื่อนฝูงมาร่วมดื่มด้วย เมื่อเมาก็ขับขี่กลับบ้าน จึงมียอดตายไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
นพ.ธนะพงษ์ สรุปว่า ปัญหาการตายจากดื่มแล้วขับหลังรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการกลับมาเป็นประเด็นสำคัญ นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่หายไปในช่วงนี้คือ "แทบไม่เหลือด่านตรวจวัดเมาขับ" อยู่บนท้องถนนเลย และด่านตรวจโควิดก็น้อยลงมากด้วย