พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าวต่อว่า แม้ข้อมูลที่รั่วไหลจะเป็นข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ต แต่การที่โครงข่ายถูกเจาะและทำให้ข้อมูลรั่วไหลแสดงให้เห็นถึงการรักษาความปลอดภัยของโครงข่างมีช่องโหว่อาจสร้างผลกระทบได้ ซึ่งข้อมูลที่รั่วไหลมีถึงจำนวน 8 พันกว่าล้านรายการ หรือจำนวน 4.7TB ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก ที่สำคัญคือข้อมูลส่วนนี้อาจนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าได้ เช่น ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง เข้าใช้ดูโปรแกรมอะไรบ้าง ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันในการป้องกัน รักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ(กมช.) และ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะต้องเข้ามาดูแล และทำงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ กสทช. ที่ยังไม่มีหน่วยงานดูและโดยตรง และยังไม่มีองค์ความรู้ด้านนี้เพียงพอ ก็ควรที่จะต้องยกระดับงานด้าน Cyber security ขึ้นมาเป็นสำนักเพื่อดูแลโดยตรง รวมทั้งจะต้องเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคลากรที่จะเข้ามาดูแลงานในส่วนนี้ด้วย รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน องค์กร ในต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งการแจ้งเตือนก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการเช่นกัน
"การโจมตีนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายจุดความเสี่ยงของโครงข่ายโทรคมนาคมที่จะสามารถถูกแฮกได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ให้บริการ และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกมธ.ดีอีเอส เราให้ความสำคัญกับเรื่อง Cyber security และคำนึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจะเชิญบริษัทเอไอเอสในฐานะผู้ให้บริการ กสทช. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจ้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งจะได้ถามถึงการเตรียมรับมือเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย" รองประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าว